
รัชสมัยพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 หรือ Virgin Queen แห่งอังกฤษทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1558 – 1608 (ตรงกับปลายรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจนถึงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของกรุงสยาม) พระองค์ทรงครองราชย์เป็นเวลา 45 ปี เป็น ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissances) อังกฤษมีความเจริญรุ่งเรืองหลายด้านโดยเฉพาะด้านการเดินเรือได้แผ่ขยายอำนาจไปครอบครองดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ทั้งความเจริญรุ่งเรืองนั้นได้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งอันเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศในกาลต่อมาเป็นอย่างมาก รัชสมัยนั้นได้เกิดมีบุคคลสำคัญๆ เช่น กวี นักประพันธ์ นักปราชญ์ ได้ก่อเกิดวิทยาการ การเมือง การทหารเยี่ยงคู่บุญญาบารมีของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 สมดั่งที่ร่ำลือทั้งในเรื่อง “กฤษดาภินิหาร”เช่นเรื่องที่กล่าวขานกันอย่างสืบต่อกันมาคือ เซอร์ วอลเตอร์ราเล ห์ได้เปลื้องเสื้อคลุมเพื่อปูเป็นทางรองพระบาทถวายรับเสด็จ เพื่อมิให้พระยุคลบาทต้องสัมผัสเปื้อนกับพื้นถนนที่สกปรกเป็นโคลนเฉอะแฉะรัชสมัยนี้มีของใหม่เกิดขึ้นในแวดวงวรรณคดีอังกฤษ เนื่องจากมีความรุ่งเรืองทางอักษรศาสตร์เป็นอันมาก ทั้งการประพันธ์ร้อยแก้วและบทละคร มีนักประพันธ์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก มีระบบแท่นพิมพ์ได้ถูกค้นคิดประดิษฐ์ขึ้นมาจึงทำให้วรรณคดีอังกฤษได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น ความุ่งเรืองด้านวรรณคดีและการพิมพ์นี้ส่งผลให้อังกฤษกลายเป็นต้นแบบทางวรรณคดีที่ส่งอิทธิพลต่อแวดวงวรรณคดีและวรรณกรรมอย่างหลากหลายและกว้างขวางทั่วทวีปยุโรปและทั่วโลก ทั้งยังได้สะท้อนถึงความงามและการดำเนิชีวิตอย่างมีวัฒนธรรมแบบคนชั้นสูง หรือความเป็น “ผู้ดีอังกฤษ” ได้เป็นอย่างดี
กวีและนักประพันธ์ในยุคแรกของพระองค์ที่มีความสำคัญและโดดเด่นในรัชสมัยของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ได้แก่เอ็ดมันด์ สเปนเซอร์ (Edmund Spenser) ซึ่งได้รับฉายา “Poet’s poet” ได้ปรับปรุงฉันทลักษณ์จากบทกวีสมัยกรีกโรมันและมีกวีรุ่นหลังต่างก็เดินตามรอยเขา ชีวประวัติของเอ็ดมันด์ สเปนเซอร์มีความน่าสนใจที่ไปพ้องคล้ายกันกับกวีท่านสุนทรภู่ และกวีศรีปราชญ์ของไทยเรา กล่าวคือ ท่านสเปนเซอร์ได้รับราชการอยู่ในพระราชวัง ได้เข้าออกในรั้วในวัง ได้เห็นสังคมชั้นสูงความหรูหราและความยากจนข้นแค้นของราษฎร เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนอ่านบทกวีเก่าๆ ไปด้วยก็ย่อมจะรู้จักวิธีถ่ายทอดในเหมาะสมกับยุคสมัยตนเอง โดยเฉพาะเรื่องราวเสียดสีสังคม
Edmund Spenser , "Post's Poet"จอห์น ลิลี (John Lyly, 1554 – 1606) เป็นผู้ให้กำเนิดสำนวนและลีลาอันบรรเจิดบรรจงใช้ศัพท์แสงอย่างหรูหรา จนเรียกขานกันว่าเป็น ยูฟูอิสม์ (Euphuism) จากการเขียนเป็นทำนองนิยายถึงเรื่องที่หนุ่มเอเธนส์นายยูฟูส์ (Euphues) กับสหายชาวอิตาลีชื่อ ฟิเลาตุส สองหนุ่มอกหักรักคุดกับสาวอิตาเลียนมาโดยตลอด ในภาคสองนั้น สองหนุ่มได้ชวนกันมาเที่ยวจีบสาวที่เกาะอังกฤษ ต่างฝ่ายต่างก็เตือนกันเองแต่ก็ไม่วายต้องอกหักซ้ำซาก เมื่อยูฟูส์กลับกรุงเอเธนส์ก็เขียนจดหมายระบายรักถึงอุปนิสัยของสาวอิตาเลียน สาวอังกฤษและขนบธรรมเนียมต่างๆ ของทั้งสองชนชาติ เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนเรื่องราวของการริเริ่มและผสมผสานรับเอาวัฒนธรรมการเปลี่ยนแปลงของสังคมใหม่จากความเจริญรุ่งเรืองในสมัยกรีกโรมันเข้ากับยุคของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ที่สำคัญคือ จอห์น ลิลี เป็นผู้เริ่มการประพันธ์แบบการเล่าและผูกเรื่องให้เกิดความน่าสนใจในรูปแบบใหม่ที่ต่อมาได้เกิดเป็นการประพันธ์ที่เรียกว่า Novel หรือ นวนิยาย นั่นเองทอมัส นาซ (Thomas Nash, 1567 - 1601) เขียนเรื่อง The Unfortunate Traveler นำเอาเรื่องความเป็นคนขี้โกงของแจ็ค วิลตันเป็นตัวเอกของเรื่อง ความสนุกสนานของเรื่องอยู่ที่ความกะล่อน มีสติปัญญาปราชญ์เปรื่องแบบศรีธนชัย เป็นนวนิยายเรื่องแรกของอังกฤษ มีเค้าโครงเรื่องแบบนวนิยายมีพล็อตเรื่อง มีการดำเนินเรื่อง มีคนร้ายคนดี ซึ่งกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจของผู้คนมากเพราะใกล้เคียงกับชีวิตจริงในสังคมนอกรั้วนอกวัง และเป็นต้นแบบของเรื่องแนวของตัวเดินเรื่องที่เป็นคนไม่ดีเป็นตัวดำเนินเรื่อง (picaresque romance)

ด้านการละคร แรกเริ่มมีขึ้นในอังกฤษในสมัยชอเซอร์แต่เป็นละครอย่างละครชาตรี(แบบไทยเรา) โดยนำเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนามาแสดง(เรียกว่า Miracle play และ Morality play) มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนสั่งราษฎรเพราะขณะนั้นศาสนจักรมีอิทธิพลสูงต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน มาในสมัยพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ได้เริ่มมีโรงละครอย่างถาวรเกิดขึ้นและเริ่มมีการเล่นหรือแสดงเพื่อความบันเทิงเรียกว่า Tudor Drama และเปลี่ยนสถานที่เล่นจากในรั้ววังแสดงถวายเจ้านายทอดพระเนตรออกสู่นอกรั้ววัง ความนิยมก็มีมากขึ้น มีคณะละคร โรงละครเกิดขึ้นมากมายหลายแบบ ที่เด่นดังคือ The Globe ที่เชกสเปียร์ได้มาเป็นทั้งหุ้นส่วน คนเขียนบทและผู้แสดง โรงละครThe Black friars มีหลังคาปิดเล่นได้ทุกฤดูกาล เป็นต้นนักประพันธ์บทละครที่มีชื่อเสียงมากที่สุด 3 คนแรกได้แก่ Christopher Marlowe, Thomas Kidและ William Shakespeare ส่วนใหญ่เรื่องราวบทละครล้วนมีเค้าโครงที่นำมาจากประวัติศาสตร์ เช่น เรื่อง Tamburlance the great, The Tragical History of Dr. Faustes, The Jew of Maltaและเรื่อง Hero and Leander
คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ (Christopher Marlowe) เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ปริญญา M.A. จบมาก็เขียนบทละครและคบหาพวกเล่นละคร ผลงานประพันธ์ของเขามีอิทธิต่อมาอีกเป็นเวลานาน น่าเสียดายที่เขามีอายุสั้นเพียง 7 ปีหลังเรียนจบ ทิ้งผลงานวรรณคดีสำคัญได้แก่Tamburlance the great เขียนเป็นกลอนได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่อง ทีมูร์ง่อย (Timur the Lame) โอรสของเจงกีสข่าน ผู้ตั้งราชวงศ์โมกุลขึ้นในมองโกเลีย ประมาณสมัยปี ค.ศ.1400 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของ Tamburlance โจรผู้ช่วยให้เจ้าคอสโรชิงบัลลังก์จากพี่ชาย(กษัตริย์เปอร์เซีย)ต่อมาเขาก็ปลงพระชนม์เจ้าคอสโรแล้วครองราชย์เสียเอง ทีมูร์มีนิสัยโหดเหี้ยมดุร้าย ไปรบกับตุรกีจับกษัตริย์ขังกรงจนสิ้นพระชนม์ เขามาเจอกับสาวงามแห่งอียิปต์ ด้วยความสวยอ่อนหวานจึงทำให้เขาเป็นคนที่โอนอ่อนลงได้บ้าง เรื่องราวจบตอนแรกลงที่ตรงนี้ เรื่องนี้เมื่อแสดงในโรงละครมีผู้คนสนใจติดตามมากเพราะให้ความสนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจให้ความบันเทิงในรัก และยังมีเรื่อง The Tragical History of Dr. Faustes, The Jew of Malta, เรื่องเกี่ยวกับความรักที่มีบทกวีไพเราะจับใจเรื่อง Hero and Leander
Hero and Leanderเรื่อง Hero and Leander เป็นเรื่องที่นางเอกถือโคมไฟให้พระเอกว่ายน้ำทะเลฝ่าคลื่นลมมาหา ทว่าคืนหนึ่งมีพายุคลื่นลมแรง กว่าเขาจะว่ายไปถึงฝั่งดั่งเช่นทุกๆ คืน เขาก็หมดแรงจมน้ำตาย เมื่อเห็นคนรักเป็นเช่นนั้นนางเอกก็โจนลงทะเลตายตามไปด้วย เรื่องนี้มีกลอนบทหนึ่งที่ไพเราะ มีผู้คนติดอกติดใจนำมากล่าวให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ในปัจจุบันนี้ว่า“Come live with me and be my love” และหากเอ่ยชื่อ Hero and Leander หนุ่มสาวชาวอังกฤษก็รู้จักกันแทบทั้งสิ้น เพราะคริสโตเฟอร์ มาร์โลว์เขียนกลอนได้ไพเราะจับใจมาก ผู้คนนิยมอ่านกันมากนั่นเอง
วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) มีชีวิตอยู่เป็นบุญญาธิการเสริมพระบารมีให้แก่พระราชินีอลิซาเบธ คนลอนดอนในสมัยนั้นหายใจเข้าออกก็เป็นละคร เป็นมหรสพที่หาชมดูได้ทั้งสามัญชนและในรั้วในวัง คนเขียนบทละครมีมากมายที่เกิดขึ้นแล้วล้มหายตายจากแต่ที่มีชื่อเสียงก้ไม่มีใครเกินวิลเลียม เชกสเปียร์ เพราะเป็นทั้งผู้แสดง นักแต่งบทละคร จนกระทั่งได้รับการยกย่องให้เป็นมหากวีเอกของโลกบทละครของเชกสเปียร์ มีมากมายถึง 38 เรื่อง ได้แก่ โรมีโอและจูเลียต เวนิสวาณิช(The Merchant of Venice) ตามใจท่าน(As You Like It) จูเลียต ซีซาร์(Julius Caesar) ฝันกลางฤดูร้อน เป็นต้น ไทยเรารับเอาอิทธิพลจากวรรณคดีอังกฤษของเชกสเปียร์อีกบทกลอนหนึ่งที่ติดปากเรามาจนถึงปัจจุบันนี้“The quality of mercy is not strain’d It droppeth as the gentle rain from heavenUpon the place beneath. It is twice blest…….”“อันว่าความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่อใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน..”ก็นำมาจากเรื่อง เวนิสวาณิช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลเป็นพากษ์ไทย และกระทรวงศึกษาธิการเคยบรรจุเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตรการเรียนในชั้นมัธยมศึกษาในอดีต เช่นเดียวกับคำว่า
“โลกนี้เหมือนโรงละครนิดๆ คิดว่าเราเป็นละครอยู่ทั่วกัน”ก็ถูกนำมากล่าวถึงกันอย่างไม่รู้ที่มาเฉกเช่นในวันนี้

จูเลียส ซีซาร์ ( Julius Caesar ) เป็นบทละครที่นิยมมากอีกเรื่อง (ทวีปวร แปลเป็นภาษาไทยเมื่อปี พ.ศ. 2512 พิมพ์ในหนังสือ วิทยาสาร) เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ในยุคสมัยจูเลียส ซีซาร์ ผู้ครองนครโรมันที่ยิ่งใหญ่ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกในเรื่องการเมืองการปกครอง จูเลียส ซีซาร์ เป็นชนชั้นสูงแต่ก็พยายามให้สามัญชนมีสิทธิ์เสมอเทียมกัน ประโยคที่ถูกหยิบมาใช้ในแวดวงการเมืองอยู่เนืองๆ ในทุกประเทศก็คือคำกล่าวที่ว่า “Et tu, Brute” เป็นวาทะก้องโลกที่สะท้อนความหมายว่า “เพื่อนก็เอากับเขาด้วยหรือนี่...” หรือมีนัยะว่า บนเวทีการเมืองย่อมไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร จากบทละครตอนที่บรูตัส สหายของจูเลียส ซีซาร์ ชักมีดออกแทงจูเลียส ซีซาร์ จนสิ้นใจตาย
หลังการตายของเชกสเปียร์ ความนิยมในเรื่องละครก็ยังไม่เลิกรา ยังมีมาถึงสมัยราชวงศ์สจ๊วต(Staurt) แห่งสก็อตแลนด์ขี้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษ นักประพันธ์ที่มีชื่อเช่นเบน จอนสัน( Ben Jonson) แต่งบทละคร บทกวี บทระบำไว้มากมายแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าเพราะความสนุกและภาษายังไม่สู้ของเชกสเปียร์ได้เท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ศพของเขาก็ได้รับเกียรติให้เก็บไว้ที่มุมกวีในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์หลังการตายทั้งของเชกสเปียร์และ Ben Jonson การละครในลอนดอนยังคงคึกคก แต่เนื้อหาและการแสดงออกจะโทรม เรื่องที่นำมาแสดงก็ได้เปลี่ยนจากเรื่องราวในรั้วในวังหรือประวัติศาสตร์ยุคเก่าก่อน มาเป็นเรื่องเกี่ยวกับชู้สาว เรื่องราวการฆ่าแกงกัน เป็นการสะท้อนฉายให้เห็นภาพของชาวลอนดอนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี แสดงว่าหลังผ่านยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยาการมานานเป็นกว่าร้อยปีแล้ว สังคมก็เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมครั้งใหญ่ จนเกิดมีกลุ่มคนที่ต่อต้านติเตียนการแสดงละครอย่างรุนแรง คือพวกเพียวริตัน(Puritan) จนในที่สุดสภาปาร์เลียเม้นท์ก็ได้ออกกฎหมายให้มีการปิดโรงละครทั้งหมดใน ค.ศ.1642 พวกต่อต้านเขียนหนังสือโจมตีการละครอย่างเผ็ดร้อนขั้นเรียกนางละครว่าเป็น "notorious whore” (แปลได้ว่า โสเภณีชั้นต่ำ หรือ กะหรี่ชั้นสวะ สำนวน อ.เปลื้อง ณ นคร) โดยหารู้ไม่ว่าในราชสำนักนั้นพระนางอังรีเอตตามาเรียกับนางในกำลังซ้อมละครกัน เมื่อพระนางทรงทราบจึงกริ้วมากจึงให้ขับนายวิลเลียม พรินน์ใส่ขื่อคาประจานไว้ที่ถนนกลางเมือง ถูกปรับเงิน ถูกสักประจานที่สองแก้ม และขลิบใบหู

หลังการสิ้นสุดยุคสมัยพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 เพราะไม่มีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ หรือที่เรียกถวายสมญานามพระองคืว่า “Virgin Queen” จึงเป็นการสิ้นสุดราชวงศ์ทิวเดอร์(Tudor) ราชวงศ์สจ๊วตโดยเจมส์ที่ 6 ในพระนามใหม่พระเจ้าเจมส์ที่ 1 ซึ่งปกครองสก็อตแลนด์จึงต้องมาครองราชย์แทน ขณะเดียวกันก็เป็นสิ้นสุดการละครและนาฎวรรณคดีของอังกฤษที่จะต้องรูดม่านปิดตัวลงตามไปด้วย แต่ก็มีศิลปะของใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนนั้นคือ วรรณคดีร้อยแก้ว และร้อยกรอง(กาพย์โคลงกลอน)กันอีกครั้งหนึ่งอย่างไรก็ตาม พระเจ้าเจมส์ที่ 1 ก็ทรงปกครองประเทศด้วยความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ยอมฟังใครและทรงถือคติว่า “The King can do no wrong” เมื่อสิ้นสุดยุคของพระองค์ก็สืบราชสันตติวงศ์ด้วยพระราชโอรส พระเจ้าชาร์ลที่ 1 ก็ทรงปกครองตามพระราชหฤทัยอย่างเผด็จการ จนเกิดการจลาจลอยู่บ่อยๆ และก็ทรงปราบประชาชนอย่างรุนแรงที่สุด จนประชาชนทนไม่ไหวในปี ค.ศ.1625 สภาปาร์เลียเมนท์ จึงได้ตั้งศาลพิจารณาโทษจับพระองค์บั่นพระศอเสีย แล้วก็เปลี่ยนอำนาจการปกครองประเทศกันเสียใหม่เป็นแบบคอมมอนเวลท์ (Commonwealth) คืออำนาจมาจากปวงชนไม่ใช่มาจากพระมหากษัตริย์หรืออำนาจเป็นของกษัตริย์แต่ในปี ค.ศ.1660 ราชวงศ์สจ๊วตก็ได้กลับคืนพระราชอำนาจอีกหน พระเจ้าชาร์ลที่ 2 (พระราชโอรส)ได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์ครองราชย์จนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ซึ่งเป็นพระอนุชาได้สืบสันตติวงศ์ แต่ทว่าพระองค์ทรงนับถือคาทอลิกและทรงกุมอำนาจไว้เพียงพระองค์เดียว ได้มีเรื่องเกิดจลาจลพระองค์ต้องหนีออกนอกเมือง ราชสมบัติตกแก่ราชธิดา พระนางแมรี ในปี ค.ศ.1702 พระนางแอนน์สจ๊วต กนิษฐภคินีได้ขึ้นครองราชย์ต่อ ตอนนั้นจึงได้เกิดการรวมสก็อตแลนด์เข้ากับอังกฤษ เรียกว่า “The Great Britain”
Francis Baconในช่วงเวลาแห่งความกดดันด้วยราชวงศ์สจ๊วตอันยาวนาน 200 ปีราษฎรได้พบกับความโหดร้ายทารุณ อยุติธรรม ทรยศคดโกง และโรคระบาด ในด้านวรรณคดีได้เกิดมีนักคิด นักเขียน นักปราชญ์ เป็นที่นิยมของชาวโลกต่อมา ได้แก่ ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของพระราชินีอลิซาเบธอยู่ด้วย ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนถึงยุคหนึ่งถูกกล่าวหาว่ารับสินบน ถูกถอนออกจากฐานันดรศักดิ์ทุกตำแหน่งและจำคุก เมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษ เบคอนก็ได้ออกไปอาศัยอยู่ในชนบทและเริ่มใช้ชีวิตเป็นคนเขียนหนังสือ และมีชื่อเสียงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เบคอนเสียชีวิตเพราะโรคปอดบวม เมื่ออายุ 65 ปี เนื่องจากเขาต้องการทดสอบว่า หิมะมีพลังรักษาคุณภาพและความสดของเนื้อและอาหารให้สดได้อย่างไร เขาเอาตัวเขาเองไปหมกอยู่ในกองหิมะเบคอนเขียนตำรับตำราเสียส่วนมาก วรรณกรรมของเบคอนกล่าวกันว่า ผู้ใดอ่านงานของเขาได้ต้องเป็นคนรอคอบมีสมาธิ เพราะเขียนด้วยสำนวนที่กระชับรัดกุม ทุกตัวอักษรมีความหมายเฉพาะและเต็มไปด้วยศัพท์แสงสูงๆ แต่ภาษาที่ใช้เป็นภาษาศิลป์จึงได้รับยกย่องให้เป็นวรรณคดีด้วย กล่าวคือ เขียนเพื่อให้ความรู้ ไม่ได้มุ่งความเพลิดเพลินอย่างเชกสเปียร์เพียงอย่างเดียวตัวอย่างประโยคทองของเบคอน ได้แก่“Reading maketh a full man, conference a ready man, and writing an exact man.(และข้อเขียนคำคมอื่นๆ ของเบคอน...........คลิกที่นี่)
John Miltonจอห์น มิลตัน(John Milton) เป็นกวี นักเขียน นักการเมือง นักปราชญ์จนได้รับยกย่องให้เป็น“Sublime” อีกคนนอกจากเชกสเปียร์ โดยเฉพาะกวีนิพนธ์สำคัญเรื่อง “สวรรค์หาย” (Paradise Lost) เขาอ่านหนังสือมากไม่หยุดหย่อนจนเขาตาบอดลง เขาโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติและตีพิมพ์หนังสือเล่มเล็กๆ เป็นชุดออกมาต่อต้านการปกครองคณะบิชอพ(ศาสนจักร) หลังการฟื้นระบอบกษัตริย์กลับคืนโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ได้ขึ้นเสวยราชอีกครั้งหนึ่ง มิลตันก็ได้หลบหนีไป และเขาก็ได้ทุ่มเทชีวิตให้กับงานกวีนิพนธ์และได้ผลิตผลงานออกมาจำนวนมาก
Paradise Lostจอห์น บันยัน (John Bunyan) เขาเป็นหนึ่งในคณะผู้ไม่นิยมนิกาย Church of England ไม่เอาอย่างกษัตริย์ของอังกฤษในสมัยนั้น เขาออกเทศนาจนมีผู้เลื่อมใสมาก แต่การขัดต่อพระราชอำนาจของราชสำนักจึงถูกจองจำอยู่ถึง 12 ปี มีประกาศการอภัยโทษแต่ก็ยกเลิกอีก เขาจึงเข้าๆ ออกๆ คุก ทำให้เขาได้แรงบันดาลใจเขียนนิทานธรรมะเกิดขึ้นในความฝันของเขาที่มุ่งสอนคนให้เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ กิเลส และมหาอมตะนคร ชื่อเรื่อง Pilgrim’s Progress (จาริกของผู้แสวงบุญ) เป็นเรื่องคล้ายธรรมะชาดกของบ้านเรา ขายดิบขายดีภายใน 4-5 ปีจำหน่ายได้กว่าแสนเล่ม ในเวลาต่อมาเขาจึงได้พ้นคุกเหตุที่คนชอบอ่านงานของจอห์น บันยันเพราะเขาเขียนด้วยภาษาง่ายๆ ตรงไปตรงมา เนื้อหาสนุกสนาน ตื่นเต้นหวาดเสียว ชวนติดตาม มีตลกขบขันแทรกอยู่ เด็กอ่านได้ผู้ใหญ่อ่านดี คนมีปัญญายิ่งอ่านยิ่งเห็นธรรมและได้ข้อคิด หลังยุคสมัยของจอห์น บันยันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวรรคดีร้อยแก้วของอังกฤษ
ส่วนจอห์น มิลตัน นั้นมีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยกรุงศรีอยุธยา
The Execution of Charles Iพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ถูกจับขึ้นศาลพิพากษาตัดสินโดยคณะลูกขุนฐานที่ทรยศต่อประชาชนให้ปลงพระชนม์(ด้วยการบั่นพระศอ) โอลิเวอร์ ครอมเวลส์ (Oliver Cromwell, 1599-1658 ) ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ Lord Protector of England ในปี ค.ศ.1654-8 มีอำนาจเป็นเจ้าชีวิตคนอังกฤษทั้งประเทศ พวกที่ประจบสอพลอหมายจะตั้งให้ครอมเวลส์ขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ได้เป็นเพียงแค่ผู้สำเร็จราชการจนถึงแก่อนิจจกรรม ทายาทก็ไม่สามารถรักษาอำนาจเอาไว้ได้จึงถูกพวกนิยมเจ้า (Royalist) ได้ยกพระโอรสในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1ขึ้นเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 นับเป็นการคืนบัลลังก์สู่ระบอบกษัตริย์ของอังกฤษอีกครั้ง เรียกว่า Restoration (England)
อนุสาวรีย์ Oliwer Cromwell, ในพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ยุคนี้เป็นยุคที่ประเทศอังกฤษมีความผันผวนมาก ประชาชนถูกแบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย พวกไหนชนะก็มีอำนาจครองประเทศ แล้วก็นำเอาพวกวีนักประพันธ์มาเป็นฝ่ายตน ฝ่ายที่พ่ายแพ้ส่วนหนึ่งก็อพยพไปขุดทองที่อเมริกาและไปสร้างชาติของตนเองใหม่ สภาพสังคมอังกฤษก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามกาลนิยม วรรณคดีอังกฤษก็ปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อวรรณกรรมร้อยแก้วเริ่มเคียงคู่พวกกาพย์กลอน ละเนื้อหา ทำนองก็เริ่มเปลี่ยน
โรงกาแฟ (The Coffe House)ในสมัย Restoration ได้เกิดมีสถานที่ชุมนุมของชาวอังกฤษเกิดขึ้นมากมายคือ โรงกาแฟ(Coffee House) เปิดขายกันในปี ค.ศ. 1650 ได้รับความนิยมจากชาวอังกฤษตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ทำให้เป็นที่นัดพบพูดคุยหารือกันของบรรดากวี นักประพันธ์ และศิลปินมาพบปะกันทำให้เกิดการแพร่หลายทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวรรณกรรมกล่าวกันว่า ปัจจุบันนี้ในอังกฤษที่เดียวมี Coffee House มากกว่า 70,000 แห่ง และที่สก๊อตแลนด์อีกหลายพันแห่ง
ที่มา :
[ ศูนย์กลางความรู้แห่งชาติ ]






