Pages

KebWii อ่านว่า "เก็บไว้" เก็บสิ่งละอันพันละน้อยที่ได้อ่านเจอบนโลกออนไลน์

ที่นี่ เก็บไว้ เราเก็บทุกเรื่องราวทุกข่าวสาร

Tuesday, July 31, 2012

รีวิว : Samsung Galaxy SIII สมาร์ทโฟนอัจฉริยะที่เข้าใจมนุษย์


หากจะหาคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับ iPhone 4S ก็ต้องเป็น Galaxy SIII ตัวนี้แหละ




เรามาลองดูรีวิว Galaxy SIII กันดูครับ


รูปทรงและการออกแบบ Galaxy SIII 

การออกแบบโดยรวมสำหรับ SIII ไม่ถือว่าแตกแถวจากเอกลักษณ์ของตระกูล Galaxy ซึ่งยังดูใกล้เคียงกับ Nexus และ SII แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความโค้งมนที่แปลกตาจากรุ่นก่อนๆ นัยว่าเพื่อให้หลุดกรอบงานดีไซน์ของ iPhone ซึ่งถือเป็นข้อดีในแง่ของการพยายามสร้างความต่างและความลงตัว

ตัวเครื่อง SIII มีมาให้เลือก 2 สี คือสีน้ำเงินลายกรวด และสีขาวหินอ่อน สะท้อนคอนเซปท์ “design for humans, inspired by nature” สะท้อนธรรมชาติสู่ความต้องการของผู้ใช้ ส่วนรูปร่างนั้นค่อนข้างบอบบางน่าทะนุถนอม แต่หุ้มห่อด้วย HyperGlaze เป็นโพลีคาร์บอเนตที่แข็งแกร่งทีเดียว ด้วยตัวเครื่องที่บางกว่า HTC One X ราวๆ 0.2 มม.แต่ทว่า SIII กลับกินขาดกว่าในส่วนของแบตเตอรี่ขนาด 2100mAh ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า HTC One X (1800 mAh) ก็เลยมีผลทำให้ในความบอบบางของรูปร่าง SIII ซ่อนความแข็งแกร่งและหนักกว่ารุ่นเดิมประมาณ 20 กรัม แต่การเพิ่มความกว้างให้หน้าจอขึ้นเป็น 4.8 นิ้ว ก็อาจจะส่งผลให้ไม่ชินมือได้ในระยะแรกๆ กับการใช้งานปุ่มต่างๆ บนตัวเครื่อง

Galaxy S III มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และพอร์ท MicroUSB อยู่ที่ฐานเครื่อง ตัวจัดเก็บข้อมูลยังคงใช้ MicroSD Card ที่อัพได้สูงสุด 64 GB และมีปุ่มพาวเวอร์อยู่ด้านขวามือ โดยที่ปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ด้านตรงข้าม

ภาพรวมด้านจอ Galaxy SIII 

จอ Super AMOLED ถ่ายทอดความละเอียดขนาด 1280 x x720 พิกเซลได้ในระดับที่ดี ประมวลผลภาพได้ชัดเจน สีสดเต็มอิ่ม มีมิติ และเพิ่มประกายให้กับภาพได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ตอบสนองการชมภาพยนตร์หรือดูภาพได้ไม่มีที่ติ แต่ความละเอียดคมชัดของเส้นยังไม่ถือว่าน่าพอใจซึ่งความละเอียดที่ใส่ให้ SIII ที่ระดับ 306ppi นั้นเทียบกับ iPhone 4S ไม่ได้ ที่น่าเสียดายคือส่วนของฟอนท์ตัวอักษร ที่ด้อยกว่าใครในภาพรวมเพราะดูมีเส้นแตก (crisp) ไม่เนียนตา กรณีนี้น่าจะเป็นปัญหาเล็กๆ สำหรับนักแชททั้งหลาย ส่วนภาพรวมอื่นๆ ด้านจอ ก็ต้องเรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ดีถึงค่อนข้างดี

ประสิทธิภาพและการประมวลผล Galaxy SIII 

ขุมกำลังที่จัดมาใน SIII คือ Exynos 1.4 GHz Quad Core ซึ่งถือว่าเต็มเปี่ยมสำหรับการรันระบบปฏิบัติการ Ice Cream Sandwich 4.0 และเหลือเฟือพอที่จะเล่นเกมแอคชั่นแบบไม่สะดุด ส่วนความละเอียดของการประมวลผลวิดีโอขนาด 1080 พิกเซล ก็ช่วยให้ดูหนังได้เพลินๆ แบบสบายตา ถือว่า SIII สอบผ่านในด้านความบันเทิงโดยเฉพาะการดูหนังหรือเล่นเกม



กล้องและวิดีโอ Galaxy SIII 

ต้องชมการประมวลผลกล้องใน Galaxy SIII ภายใต้ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถเรียกใช้งานกล้องได้ทันทีและการหาจุดโฟกัสสแนปภาพก็รวดเร็วทำให้ถ่ายภาพได้ง่ายขึ้น

ฟีเจอร์ที่ซัมซุงชูความโดดเด่นสำหรับการถ่ายวิดีโอคือสามารถตั้งชื่อบุคคลในภาพให้ตัวเครื่องจดจำได้ ด้วยระบบอัจฉริยะเพียงแตะไปที่ใบหน้าของบุคคลในคลิปหรือภาพถ่าย ก็จะสามารถพิมพ์ชื่อได้ ทั้งยังเชื่อมโยงไปยังฟังก์ชั่นรายชื่อในโทรศัพท์ที่จะทำให้สามารถติดต่อ แชท หรือทำกิจกรรมทางสังคมออนไลน์กับเพื่อนหรือบุคคลอื่นได้ง่ายขึ้น

ในขณะเดียวกัน Galaxy SIII มาพร้อมกล้องถ่ายวิดีโอขนาด 1080p วางใจได้ในระดับหนึ่งเรื่องความคมชัด และมีระบบจัดการอย่างโหมดปรับขยายภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดี ลดปัญหาภาพเบลอขณะซูมได้ดีทีเดียว

แบตเตอรี่ Galaxy SIII 

แบตเตอรี่ขนาด 2100mAh ของ Galaxy SIII ถือว่ามีขนาดความจุพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทั้งหมด ในการทดสอบความอึดของแบตฯ ก็เลยถือเป็นโอกาสทดสอบระบบ multi-tasking ของตัวเครื่องไปด้วย

จากการทดสอบโดยเปิดใช้งานแอพฯ ชมวิดีโอ ปรับความสว่างหน้าจอ เชื่อมต่อ Wi-Fi และซิงค์กล่องจดหมายกับ Gmail โดยเปรียบเทียบกับ HTC One X ที่เพิ่งจะเสียตำแหน่งแบตใหญ่ไปหมาดๆ พบว่าจากการทำงานที่ใกล้เคียงกันเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง Galaxy SIII เหลือพลังงานแบตเตอรี่อยู่ถึง 76% เมื่อเทียบกับ HTC One X ที่เหลืออยู่เพียง 41%

ค่าเฉลี่ยการใช้งานแบตเตอรี่ของ Galaxy SIII ระบุไว้ว่าสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง 26 นาที ถือเป็นสองเท่าของ HTC One X ซึ่งแบตเตอรี่ที่ใหญ่และอึดกว่าน่าจะได้ใจผู้ที่ใช้งานต่อเนื่องนานๆ หรือเดินทางไกลๆ

เบราเซอร์และการใช้งานอินเทอร์เน็ต Galaxy SIII 

Galaxy SIII มีระบบ stock browser ที่ดูเผินๆ ก็ไม่ต่างจากฟังก์ชั่นเว็บเบราเซอร์บนสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป การดาวน์โหลดเบราเซอร์หลายๆ หน้าสามารถทำได้ราบรื่นในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาที่ยังต้องรอนักพัฒนามาช่วยกันแก้ไข คือฟอนท์ตัวหนังสือยังไม่สามารถปรับขนาดให้พอดีกับหน้าจอได้ ซึ่งด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง HTC One X ที่ผู้ใช้ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้



Android 4.0 Ice Cream Sandwich และ TouchWiz

สิ่งที่ Galaxy SIII คิดค้นจนสำเร็จบนแพลทฟอร์ม คือหลากหลายความอัจฉริยะที่ยกระดับแอนดรอยด์ 4.0 ให้เป็นที่สนใจมากขึ้น ในขณะที่แอปเปิ้ลมี Siri เป็นผู้ช่วยในระบบสั่งงานด้วยเสียง Galaxy SIII ก็มี S Voice ที่ทำงานเหมือนกันเป๊ะๆ ออกมาแชร์ตลาด แต่เพิ่มความฉลาดด้วยการสั่งให้เปิดหน้าเบราเซอร์ให้เราเพื่อเข้าเว็บไซต์ได้, ส่งแมสเซจได้ และยังสั่งให้ปลุกได้ในกรณีที่ตั้งเวลา หรือฟีเจอร์ S Beam ที่เชื่อมต่อระหว่าง Galaxy SIII สองเครื่องได้ทันทีไม่ว่าจะส่งข้อความหรือภาพถ่าย

และเพื่อให้เข้ากับคอนเซปท์สมาร์ทโฟนที่เข้าใจมนุษย์มากขึ้น ฟีเจอร์เก๋ๆ อย่าง SmartStay จึงถือเป็นการคิดค้นแรกที่ซัมซุงทำได้สำเร็จ ด้วยระบบจับความเคลื่อนไหวจากสายตาของเรา ที่ทำให้หน้าจอสามารถทำงานได้ตลอดเวลาจนกว่าเราจะหลับหรือไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ซึ่งระบบอัจฉริยะทั้งหลายน่าจะส่งผลดีต่อการถนอมทัชสกรีน ซึ่งช่วยให้เราใช้งานสมาร์ทโฟนได้เต็มประสิทธิภาพแม้ไม่ได้แตะหรือสัมผัสหน้าจอ

บทสรุป Galaxy SIII 

ต้องถือว่า Galaxy SIII เป็นเรือธงขนานแท้ของซัมซุง โมไบล์ ที่ก้าวไปไกลกว่าที่เราๆ ท่านๆ คิดไว้ ด้วยก้าวกระโดดที่ฉีกนวัตกรรมของเรือธงตัวเก่าอย่าง Galaxy Nexus และต่อกรกับ One X ของ HTC อย่างมีข้อได้เปรียบเล็กน้อย โดยเฉพาะคุณสมบัติพื้นๆ แต่ได้ใจผู้บริโภคมานักต่อนักอย่างแบตเตอรี่ที่ยุคไหนสมัยไหนความอึดและทนยังคงเป็นหัวใจหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเมื่อ Galaxy SIII ใส่ใจในรายละเอียดของฮาร์ดแวร์ได้ดีเมื่อเทียบกับบรรดาซอฟท์แวร์ล้ำยุคที่อัดอยู่ภายใน

Written by : MimeGadget


แกร่งดุจค้อน : Oppo Finder โชว์หน้าจอทนทานจนตอกตะปูได้!


Oppo Finder


Oppo Finder โชว์ดีกรีสมาร์ทโฟนบางเฉียบที่สุดในโลกด้วยการนำเสนอคลิปสาธิตความแกร่งของหน้าจอด้วยการนำไปตอกตะปูแทนค้อน!

โชว์ความแกร่งแบบไม่เกรงใจ สำหรับ Oppo Finder สมาร์ทโฟนรูปทรงบางเฉียบเพียง 6.65 มม. และด้วยความบางขนาดนี้ ทางทีมงานออปโปจึงจัดคลิปท้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งของหน้าจอที่ความบางไม่เป็นอุปสรรค โดยใช้หน้าจอของตัวเครื่องจัดการตอกตะปูลงไปบนแผ่นไม้กระดานแทนค้อน ผลปรากฏว่าภารกิจครั้งนี้สำเร็จด้วยดี โดยที่ตะปูไม่มีเลื่อนหลุดหรือส่วนใดของตัวเครื่องชำรุดหลุดพัง นอกจากร่องรอยเพียงเล็กน้อยบริเวณสันเครื่องเท่านั้น



นอกจากจะแข็งแกร่งแล้ว Oppo Finder สมาร์ทโฟนหน้าจอทัชสกรีน ยังมาพร้อมกับสเป็คที่ไม่ควรมองข้ามด้วยหน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว Super AMOLED ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 พร้อมชิปประมวลผลแบบดูอัลคอร์ 1.5 GHz และ RAM ประมวลผลความจำขนาด 1 GB

ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้สมบุกสมบันและมั่นใจในความแกร่งจากคลิปนี้ ก็น่าจะลองเก็บไปพิจารณากันดู


Oppo Finder


สันของตัวเครื่อง Oppo Finder หลังการทดสอบ กับรอยถลอกเล็กน้อย

Written by : MimeGadget



สรรสาระ :-e-magazine

Monday, July 30, 2012

Verizon เปิดตัว HTC DROID Incredible 4G LTE


HTC และ Verizon จับมือกัน เปิดตัวสมาร์ทโฟน HTC ตระกูล DROID ตัวใหม่ล่าสุดออกมาแล้ว
นั่นคือ

DROID Incredible 4G LTE


ตัวจริงเสียงจริงจะมาในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่วันนี้มาดูสเป็กกันก่อน ..
- โปรเซสเซอร์ Snapdragon 1.2GHz dual-core
- หน้าจอ 4 นิ้ว qHD Super LCD
- กล้อง 8MP, Beats Audio, Sense 4,
- Android 4.0 Ice Cream Sandwich
- ราคาเห็นแวบๆ ที่เว็บไซต์ Verizon อยู่ที่ $299.99 เหรียญ (9,000 บาท)
รู้สึกว่าช่วงนี้จะมีการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือกันมากมายหลากหลายค่ายซะเหลือเกิน
งานนี้สร้างความหนักใจให้กับผู้บริโภคหลายๆท่านไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
Credit By : 7boot


สรรสาระ :-e-magazine

หึ่งเน็ตวิจารณ์ นักร้องหนุ่ม จงฮยอน-แทมิน แห่งวง SHINee จุ๊บปากกันกลางเวที!

updated: 23 ก.ค. 2555 เวลา 14:15:15 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ล่าสุดมีภาพออกมาช็อคแฟนๆจากงานคอนเสิร์ตที่มีชื่อว่า SHINee World Concert II เมื่อวันที่21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ในระหว่างการแสดงบนเวที จงฮยอนหนึ่งในสมาชิกวง SHINee ได้เคลื่อนตัวไปหาน้องคนสุดท้องของวงอย่างแทมิน พร้อมทั้งจับหัวเขาไว้ และหลังจากนั้นปากของจงฮยอนก็ได้ไปโดนกับปากของแทมินในขณะที่เปลือยท่อนบนอยู่

ซึ่งภาพดังกล่าวได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ให้กับชาวเน็ตเป็นอย่างมาก  ทั้งในเรื่องของการไปโดนปากของแทมิน รวมถึงการถอดเสื้อแสดงคอนเสิร์ตและลายตามตัวที่เต็มไปด้วยรอยสักปลอมที่เป็นชื่อแฟนไซต์ต่างๆ

ที่มา popcornfor2

ภาพหลุด iPhone 5 ของจริงมาแล้ว ทั้งเครื่องในนอกหน้าหลัง ครบ

ภาพหลุด iPhone 5 ตัวเป็นๆ ทั้งเครื่องมาแล้ว มาในสีทูโทนตามข่าวลือ
ในที่สุดภาพหลุดแบบเต็มๆ ทั้งเครื่องของ iPhone 5 ก็มีมาแล้วจนได้ครับ ทำให้เป็นไปได้ว่าขณะนี้ Apple ได้ทำการผลิต iPhone 5 จนเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง และน่าจะพร้อมเปิดตัวในอีกไม่นานนี้ โดยจากรูป ตัวเครื่องนั้นจะมาในสีทูโทนดำ-เทา ที่ส่วนสีเทาใช้วัสดุประเภทเมทัลลิกด้าน และส่วนอื่นๆ มีรายละเอียดดังนี้
  • หน้าจอมาในขนาด 4 นิ้ว
  • ตัวเครื่องมีความบางลงจากเดิม
  • พอร์ตเชื่อมต่อมีขนาดเล็กลง
  • ย้ายพอร์ตหูฟังไปอยู่ด้านล่าง
  • เปลี่ยนรูปแบบลำโพง
  • ปรับตำแหน่งกล้องหน้ามาไว้เหนือลำโพงสนทนา
เอาเป็นว่าเรามาชมรูป iPhone 5 พร้อมคลิปกันดีกว่าครับ ซึ่งดูแล้วถ้าไม่ผิดพลาดอะไร iPhone 5 ก็คงมีหน้าตาไม่หนีไปจากนี้มากละนะ






ที่มา : 9to5macs ——————————————————————————————–
สรุปข่าวลือ iPhone
จะว่าไปนี่ก็ใกล้ถึงช่วงเปิดตัว iPhone 5 เข้าไปทุกทีแล้ว ซึ่งอันที่จริงทาง Apple ก็ยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่าจะมีการเปิดตัว iPhone 5 เมื่อไร แต่ถ้าตามปกติแล้ว Apple จะเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี จะมีก็แต่ iPhone 4S ในปีก่อน ที่เลื่อนไปเปิดตัวเดือนตุลาคมแทน ทำให้กำหนดการเปิดตัว iPhone 5 ยังไม่สามารถคาดเดาได้แน่ชัดว่าจะมาแบบไหน
  • หน้าจอความละเอียดสูง จอยาวขึ้น
Screen_shot_2011-08-12_at_2.16.42_PM_1_610x472
ความหนาของ iPhone 5 น่าจะบางลงกว่าในรุ่นปัจจุบัน เนื่องจากมีข่าวจากวงในว่า Apple จะเปลี่ยนไปใช้พาเนลจอแบบ In-Cell ที่ฝังรวมเซ็นเซอร์รับสัมผัสไปกับตัวจอ ซึ่งจะทำให้ตัวเครื่องโดยรวมของ iPhone 5 มีความบางลงกว่าแต่ก่อน ตามข่าวมีรายงานมาว่า iPhone 5 น่าจะมีความหนาเหลือเพียง 7.9 มิลลิเมตรเท่านั้น (ข่าวเก่า)

แต่ก็มีเรื่องที่น่าห่วง ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องราคาของจอ iPhone 5 ทีแน่นอนว่าต้นทุนจะต้องสูงขึ้นกว่าเก่าพอสมควร เนื่องด้วยเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ยังค่อนข้างใหม่ในตลาดสมาร์ทโฟน แถมถ้ากระจกจอ iPhone 5 เสีย รับรองได้ว่าผู้ใช้ไม่สามารถไปหาร้านเปลี่ยนกระจกจอให้ได้แน่ๆ เพราะด้วยการที่มันฝังส่วนรับสัมผัสและควบคุมการทำงานของระบบสัมผัสเอาไว้ใน จอเลย ทำให้ตามร้านน่าจะหาอะไหล่จอได้ค่อนข้างยาก และมีราคาที่สูงกว่าในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้ว่าเมื่อจอ iPhone 5 มีปัญหา ผู้ใช้น่าจะมีทางเลือกแค่สองทาง นั่นคือส่งซ่อมศูนย์ หรือขายไปซื้อเครื่องใหม่แทน โดยถ้าดูจากเทรนด์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Apple โดยเฉพาะไลน์ MacBook ที่เพิ่งเปิดตัว MacBook Pro with Retina Display ไปไม่นานมานี้ จะสังเกตได้ว่าตัวเครื่องมีความบางลง ทำให้น่าสนใจว่า iPhone 5 จะมีขนาดที่บางลงกว่า iPhone 4S ขนาดไหน
เรื่องจอ iPhone 5 ยังไม่หมดเท่านี้ครับ เพราะเรื่องขนาดและความ ละเอียดจอก็เป็นข่าวที่สร้างกระแสได้มากพอควร เนื่องจากมีข่าวลือว่า Apple จะขยายขนาดจอขึ้นไปเป็นมากกว่า 4 นิ้ว แต่ยังไม่แน่ชัด เพราะข่าวลือมีค่อนข้างหลายตัวเลขให้ได้อ่านกัน แต่มีข้อหนึ่งที่มีหลายๆ แห่งลือมาตรงกันก็คือความละเอียดจอที่จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 1136×640 และที่แน่นอนก็คือจะยังคงความเป็น Retina Display ไว้เช่นเดิม
  • หน้าตาและรูปร่าง iPhone 5
white2-620x382
บอดี้ของตัวเครื่อง iPhone 5 ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกับเรื่องของหน้าตา โดยเท่าที่มีกระแสลือกันในขณะนี้ก็คือการเปลี่ยนไปใช้วัสดุแบบ liquid metal ที่ให้ความแข็งแกร่ง ความคงทนต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนที่สูงกว่ารุ่นเก่า โดยบอดี้นั้นจะมาเป็นแบบ unibody ที่จะทำให้ iPhone 5 มีตัวเครื่องที่แข็งแรง
ซึ่งถ้าให้อธิบายง่ายๆ Retina Display ก็คือระดับของความละเอียดจอที่ผู้ใช้ไม่สามารถมองเห็นเม็ดพิกเซลด้วยตาเปล่า ได้ และนอกจาก iPhone 5 อาจจะมีจอใหญ่ขึ้น ความละเอียดจอสูงขึ้น ก็ยังน่าสนใจในเรื่องของอัตราส่วนจอด้วย เพราะอาจจะเปลี่ยนจากในปัจจุบันที่เป็น 3:2 ไปเป็น 16:9 ซึ่งส่วนที่อาจเป็นปัญหาก็คือในส่วนของแอพที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน ที่ทางผู้ผลิตแอพต้องไปจัดการเปลี่ยนแปลงหน้าตาแอพซะใหม่ด้วย แต่ก็จะทำให้ iPhone 5 มีอัตราส่วนหน้าจอที่เป็นแบบเดียวกันกับสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้ในพื้นที่ทางยาวที่มากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอัตราส่วนความกว้างที่ลดลงมาเล็กน้อย แต่ถ้ามีการขยายขนาดจอให้ iPhone 5 จริง เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องของการเพิ่มความละเอียดหน้าจอแล้วยังคงความเป็น Retina Display อยู่นั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องยากของ Apple เนื่องจากได้เคยทำให้เห็นแล้วทั้งใน The new iPad และ MacBookPro with Retina Display ที่ทั้งสองมาในขนาดจอที่ใหญ่ และยังคงมีความละเอียดระดับ Retina Display อยู่ จึงทำให้ไมน่าจะเป็นเรื่องยากนักที่จะทำให้ iPhone 5 มีความละเอียดจอที่สูงขึ้น ขนาดจอใหญ่กว่าเดิม แต่ยังคงความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลในระดับ Retina Display อย่างที่หลายๆ คนพอใจได้
ล่าสุดมีภาพหลุดออกมา ซึ่งภาพเหล่านี้มีกระแสลือกันว่ามันคือเครื่องโครงร่างสำหรับทดสอบ Engineering Sample ของ iPhone 5 ดังภาพด้านล่างนี้

ตัวแบบนั้นเป็นเครื่องที่ทำมาจากโลหะและผ่านการทดสอบต่างๆ นานามาระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกในการจับ ซึ่งเมื่อดูจากในภาพแล้ว จะพบว่าตัวเครื่องของ iPhone 5 มีความยาวเพิ่มขึ้นจาก iPhone 4S,​ แถมยังบางลงกว่าเดิม แต่ที่เหมือนของเก่าก็คือความกว้างของตัวเครื่อง ที่อาจจะทำให้หน้าตาของ iPhone 5 ดูยาวๆ ไปซักนิด

ประกอบกับข้อมูลที่ได้มาจากการเปิดเผยของกลุ่มผู้เป็น supply chain ของ Apple ที่ให้ข้อมูลมาก่อนหน้านี้ว่าตัวเครื่องของ iPhone 5 จะมีความยาวที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และจะมาในฝาหลังที่ใช้สีแบบทูโทน จึงเป็นไปได้ว่า iPhone 5 น่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นดังรูปด้านล่างนี้

  • การแสดงผล 3D ใน iPhone 5

ส่วนอีกฟีเจอร์หนึ่งของจอที่มีการพูดถึงกันก็คือเรื่องการแสดงผลแบบ 3D ที่อาจจะมีเพิ่มเข้ามาใน iPhone 5 ซึ่งถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ 3D ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากนัก เพราะในสมาร์ทโฟน Android อย่าง HTC Evo 3D หรือจะเป็นในตระกูล LG Optimus 3D ที่ก็มีการแสดงผลแบบ 3D มาก่อนแล้ว แถมยังสามารถถ่ายภาพแบบ 3D ได้อีกต่างหาก ทำให้น่าสนใจว่า ถ้า Apple จะนำเทคโนโลยี 3D มาใช้ใน iPhone 5 จริงๆ Apple จะนำจุดเด่นมาทำให้เป็นข้อได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ ได้อย่างไร ไม่แน่เราอาจจะได้เห็นจอ 3D ที่สามารถมองได้หลายมุมจาก iPhone 5 ก็เป็นได้
  • กล้อง iPhone 5 จะคมชัดและถ่ายรูปได้สนุกกว่าเดิม

ถัดจากเรื่องจอ iPhone 5 ก็มาดูในเรื่องของกล้องกันต่อ ในเรื่องกล้องนั้น iPhone จัดได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องในคุณภาพระดับที่ดีมาอยู่แล้ว ซึ่งก็มาจากส่วนประกอบหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุดเลนส์ เซ็นเซอร์รับภาพ กระบวนการประมวลผล รวมไปถึงซอฟต์แวร์ประมวลผลที่หลายๆ คนให้คำชมว่าทำออกมาได้ดี ทำภาพได้ถูกใจผู้ใช้กว่ารายอื่นๆ ซึ่งข้อดีเหล่านี้ก็คงถ่ายทอดมาสู่ iPhone 5 เช่นเดิม โดยในขณะนี้ก็มีข่าวว่า Apple จะเปลี่ยนรุ่นของเซ็นเซอร์รับภาพภายในกล้องหน้าไปใช้เป็น OmniVision OV9772 ที่ใหม่กว่าใน iPhone 4S อันจะทำให้ความละเอียดสูงสุดของกล้องหน้า iPhone 5 สูงถึงระดับ HD (1280×720) กันเลยทีเดียว ส่วนในรายของกล้องหลังนั้น คาดว่าจะใช้เซ็นเซอร์ตัวเดิมกับ iPhone 4S แต่เปลี่ยนแปลงในส่วนของชุดเลนส์ ซึ่งจะทำให้ iPhone 5 สามารถถ่ายภาพที่ความกว้างรูรับแสงกว้างสุดถึง f/2.2 กันเลยทีเดียวถ้าถามว่า f กว้างแล้วมีประโยชน์อะไร ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือกล้องจะสามารถถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยได้ดี ขึ้น เพราะสามารถรับแสงจากภายนอกได้ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถถ่ายภาพแบบให้ฉากหลังเบลอได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย เรียกได้ว่าน่าจะมีหลายคนชอบใจกับกล้องของ iPhone 5 กันเลยทีเดียว แต่ด้วยการเพิ่มความกว้างของ f ก็จะส่งผลให้ตัวชุดกล้องของ iPhone 5 มีความยาวกว่าเดิม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ HTC One X ที่ส่วนกล้องนูนออกมาจากฝาหลังอย่างเด่นชัด หรือถ้าไม่ต้องการให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเด่นออกมา ก็อาจจะให้ตัวเครื่องอาจจะหนากว่าเดิมเท่ากันทั้งชิ้น
  • การเปลี่ยนแปลงของพอร์ตเชื่อมต่อใน iPhone 5
Connector-Dock
ส่วนต่อมาที่น่าพูดถึงก็คือพอร์ตเชื่อมต่อของ iPhone 5 ที่จะมีการเปลี่ยนเป็นพอร์ตที่มีขนาดเล็กลงและบางลงกว่าเก่าเล็กน้อย  โดยอาจจะลดจำนวนพินในพอร์ตเชื่อมต่อลงเหลือเพียง 19 จากที่เดิมมีอยู่ 30 พิน รวมไปถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะรองรับ USB 3.0 ตามสมัยนิยม เนื่องด้วยในผลิตภัณฑ์ของ Apple ในตระกูล MacBook รุ่นใหม่ได้มีการรองรับ USB 3.0 กันหมดแล้ว จึงเป็นไปได้ว่า iPhone 5 จะรองรับการเชื่อมต่อผ่านทาง USB 3.0 ด้วยเช่นกัน ตามวิสัยของ Apple ที่ชอบให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าคู่แข่ง ส่วนอีกพอร์ตหนึ่งที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคือพอร์ตหูฟังที่เปลี่ยนมาอยู่ด้าน ล่างของตัวเครื่อง iPhone 5 แบบเดียวกับ iPod Touch แต่ตัวของหูฟังที่แถมมากับเครื่องเองไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไร คือยังใช้แจ็คขนาด 3.5 มิลลิเมตรเช่นเดิม ส่วนของช่องลำโพงด้านล่างของตัวเครื่อง iPhone 5 ก็มีลือว่าจะเปลี่ยนเป็นการเจาะรูบอดี้เครื่อง iPhone 5 เป็นช่องเล็กๆ หลายๆ ช่องแทนแบบเก่าที่ใช้ช่องใหญ่แล้วติดตะแกรงเอาไว้ด้านในเหมือนในภาพด้านบน แต่ดูจากในภาพแล้วจะรู้สึกว่าแบบใหม่ดูค่อนข้างแน่นๆ ไม่มีที่ว่างแบบ iPhone 4S ที่ดูแล้วเรียบหรูกว่า
  • iPhone 5 กับ NFC จะมาคู่กัน ?

ต่อมาก็เป็นเรื่องของการเชื่อมต่อแบบไร้สายอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าจะมาอยู่ใน iPhone 5 นั่นก็คือ NFC (Near Field Communication) ที่มีสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่นในตลาดเริ่มรองรับกันแล้ว ข้อนี้ดูจะมีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่เยอะหน่อย เพราะในการเปิดตัว iOS 6 ที่ผ่านมา Apple ได้มีการเปิดตัวฟีเจอร์ Passbook ที่จะมาช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลตั๋วต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการเชื่อมโยง iPhone 5 เข้ากับ NFC ถ้ามันมาจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงแนวโน้มการใช้าน NFC ในประเทศไทย ดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องไกลตัวซักเล็กน้อย เนื่องด้วยยังมีผู้ให้บริการที่เปิดให้ใช้งาน NFC อยู่น้อย และยังไม่เป็นที่นิยมกับในสมาร์ทโฟนมากนัก แต่ NFC จะมีผลมากกับในบางประเทศที่เปิดให้ใช้งานเรื่องการซื้อขายสินค้าหรือบริการ แล้วใช้ NFC ในสมาร์ทโฟนช่วยในการบริการหรือจ่ายเงิน และยิ่งถ้ามีลงใน iPhone 5 เมื่อไร ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้ว่าการใช้งาน NFC อาจจะแพร่หลายมากขึ้น เพราะชื่อของ Apple และ iPhone สามารถใช้เป็นแรงกระตุ้นได้ในหลายๆ ทาง
  • สเปกและความแรงของ iPhone 5
iphone-5-mock
ในด้านของสเปกเครื่อง คาดว่า iPhone 5 จะใช้ชิปประมวลผลรุ่นที่พัฒนาต่อมาจาก Apple A5X ใน The new iPad โดยมีรหัสเป็น S5L8950X ส่วนชิปกราฟิกภายในก็ยังไม่แน่ชัด แต่คงจะเป็นชิปที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่า PowerVR SGX543MP4 ใน The new iPad แน่นอน ในด้านของการเชื่อมต่อก็มีการคาดกันว่า iPhone 5 น่าจะมาพร้อมกับโมดูลการเชื่อมต่อแบบ all-in-one ที่ภายในรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่าย 4G LTEด้วย เพราะในขณะนี้เครื่องที่รองรับการเชื่อมต่อ 4G LTE ก็มีวางจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (แค่ในบางประเทศที่รองรับ 4G แล้ว) ส่วนเรื่องเครือข่าย 3G นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะในปัจจุบัน iPhone ก็สามารถใช้งาน 3G ได้กับทุกเครือข่ายอยู่แล้ว ดังนั้นชาวไทยไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ iPhone 5 จะสามารถใช้งาน 3G ได้ครบถ้วนเช่นเดิมแน่นอน แต่ดูเหมือนว่าล่าสุด จะมีรายงานออกมาว่า Apple กำลังประสบปัญหากำลังการผลิต battery มีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่จะใช้ในการผลิต iPhone 5 ซึ่งอาจส่งผลให้ต้องชะลอการผลิตออกไปก่อน รวมไปถึงยังมีกระแสมาอีกเรื่องด้วยก็คือ กำหนดการเปิดตัว iPhone 5 อาจจะเลื่อนมาเร็วกว่าเดิมเป็นในช่วงเดือนสิงหาคมแทน ซึ่งก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า Apple จะเลือกเปิดตัว iPhone 5 เมื่อไร
  • iPhone 5 จะใช้ nano SIM
ดู เหมือนว่าบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออาจจะเริ่มทราบข้อมูลบางอย่างของ iPhone 5 แล้วก็เป็นได้ เพราะมีรายงานล่าสุดออกมาว่า ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือในยุโรปหลายรายเริ่มทำการสั่งนำผลิต nano SIM ที่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการใช้ใน iPhone 5 เป็นครั้งแรก เนื่องด้วย Apple เป็นตัวตั้งตัวตีในการคิดค้นและผลักดันมาตรฐาน nano SIM มาตลอด และตอนนี้ก็ผ่านการรองรับจากสถาบันกำหนดมาตรฐานการสื่อสารยุโรปเรียบร้อย แล้วด้วย ทำให้เป็นไปได้ว่า iPhone 5 จะใช้งาน nano SIM ประกอบกับข่าวลือมาตลอดว่า iPhone 5 จะมีขนาดที่บางลงกว่า iPhone 4Sซึ่งสาเหตุที่ผู้ให้บริการเครือข่ายในยุโรปเริ่มทำการสั่งผลิตและสต็อก nano SIM ไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันการป้อน nano SIM ให้กับตลาดไม่ทัน อย่างที่เคยเกิดในสมัย iPhone 4 และ iPad ซึ่งเปลี่ยนไปใช้ micro SIM เริ่มวางจำหน่าย ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถนำ micro SIM มาจำหน่ายได้ทันกับความต้องการ จึงต้องมาคอยตัด SIM ให้กับลูกค้า ซึ่งเสียเวลาทั้งลูกค้าและบริษัทเองพอสมควร
————————————————————————————————–
19/7/55
เคส iPhone 5 เริ่มวางจำหน่ายแล้ว พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อขนาดกว้างขึ้น (เยอะ)
นอกจากเรื่องของตัวเครื่อง iPhone 5 ที่ลือกันว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรูปร่างไปเล็กน้อยแล้ว อีกส่วนที่มีความสำคัญก็คือเคสที่จะต้องออกแบบให้พอดีกับตัวเครื่อง ซึ่งเท่าที่ผ่านมาก็พอจะมีรูปหลุดหรือตัวเคสที่คาดกันว่าจะเป็นเคส iPhone 5 ออกมาให้เห็นกันอยู่เรื่อย ล่าสุดก็มีเคส iPhone 5 เริ่มวางจำหน่ายในเว็บ Tvc-mall กันแล้ว

โดยจากรูปที่อยู่ในเว็บ จะเห็นได้ว่าขนาดของตัวเคสจะดูยาวๆ กว่าเคส iPhone 4S ในปัจจุบัน รวมไปถึงพอร์ตเชื่อมต่อที่มีการปรับเปลี่ยนไปใช้พอร์ตที่มีขนาดสั้นลง แต่หนากว่าเดิม นอกจากนี้ยังเปลี่ยนช่องเสียบแจ็คหูฟังมาไว้ด้านล่างใกล้กับตำแหน่งของลำโพง อีก ส่วนสนนราคานั้นก็เพียงแค่ชิ้นละ $1.58 หรือราวๆ เกือบ 50 บาทเท่านั้นเอง




ที่มา : 9to5macs
23/7/55
Reuters ยืนยัน iPhone 5 มาพร้อมพอร์ต Connector แบบ 19 พินแน่นอน
คาดว่าน่าจะเป็นจริงเสียแล้ว สำหรับกระแสเรื่องของพอร์ต Connector ใน iPhone 5 ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากใช้พอร์ตแบบปัจจุบันที่มี 30 พินมาตั้งแต่รุ่นแรก (สืบทอดมาตั้งแต่สมัย iPod) โดยล่าสุดสำนักข่าว Reuters ได้ยืนยันโดยมีที่มาจากข้อมูลที่ทาง Reuters ได้รับมา ว่าพอร์ตของ iPhone 5 จะมีขนาดเล็กลงจากเดิม และเปลี่ยนไปเหลือพินสำหรับเชื่อมต่อเพียงแค่ 19 พินเท่านั้น ซึ่งสาเหตุที่ลดจำนวนพินและขนาดพอร์ตลง ก็เพื่อทำให้มีพื้นที่ว่างสำหรับวางตำแหน่งของช่องเสียบแจ็คหูฟัง ที่จะย้ายจากด้านบนมาอยู่ด้านล่างของ iPhone 5 แทน โดยคาดว่าจะอยู่ในคนละฝั่งกับ iPod Touch คือฝั่งซ้ายล่างของตัวเครื่อง (ของ iPod Touch อยู่ทางขวา)

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจาก DigiTimes ออกมาเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ Apple ได้เริ่มสั่งทำการผลิต iPhone 5 แล้ว และจะเริ่มวางขายในช่วงเดือนตุลาคม แต่ตรงส่วนนี้ก็ยังไม่จัดว่าเป็นข้อมูลที่แน่ชัดนัก เพราะข้อมูลจากทาง BGR มีออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานว่า iPhone 5 ยังอยู่ในขั้นตอนกันทดสอบทางวิศวกรรมอยู่เลย โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมแรม 1 GB รองรับทั้ง 4G LTE และ NFC ดังนั้นใครที่รอซื้อ iPhone 5 อยู่ ก็อาจจะต้องค่อยๆ ตามข่าวกันไปก่อนนะครับ แต่คาดว่าน่าจะเริ่มขายจริงก็คงไตรมาสสุดท้ายของปีเลยล่ะ
ที่มา : Mac Rumors, DigiTimes
28/7/55 
ว่าที่รูปเครื่องหลุดมาอีกแล้ว คราวนี้เป็นเครื่อง Mock-up จากเซินเจิ้นกันบ้าง
ในที่สุดก็มีข่าวเกี่ยวกับ iPhone 5 กันบ้างซะที โดยคราวนี้เป็นข่าวขายเคสจากเซินเจิ้น ประเทศจีนครับ แต่ที่น่าสนใจก็คือในรูปนั้นมีตัวอย่างเครื่อง iPhone 5 ที่ทำออกมาเป็น mock-up เพื่อใช้เป็นหุ่นประกอบเคสอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า iPhone 5 จะออกมามีหน้าตาแบบนี้ ที่สังเกตจุดแตกต่างจาก iPhone 4S อย่างเห็นได้ชัดก็เช่น
  • จอยาวขึ้น
  • เปลี่ยนตำแหน่งกล้องหน้ามาไว้เหนือลำโพงสนทนา
  • รูปสี่เหลี่ยมตรงปุ่ม Home มีขนาดใหญ่ขึ้น
  • พอร์ตเชื่อมต่อเปลี่ยนมาใช้แบบเล็ก คาดว่าน่าจะ 19 พินอย่างที่ลือกันมา
  • ช่องหูฟังเปลี่ยนมาอยู่ด้านล่าง
ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหน้าตาของ iPhone 5 จริงๆ หรือเป็นตัวอย่างเครื่องที่พี่จีนทำออกมาหลอกขายเคสล่วงหน้าก็ไม่ทราบนะครับ เพราะดูจะสร้างรายละเอียดตามกระแสข่าวลือหลายๆ อันรวมกันเลย :D



ที่มา : specphone.com,MacRumors, 9to5mac

การสมัครสอบ TOEIC

 


ขั้นตอนการสมัครสอบ TOEIC

เตรียมค่าสอบ TOEIC 1,800 บาท (Redesigned TOEIC)เตรียมรูปถ่าย 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้วก็ได้ สามารถสมัครด้วยตัวเองที่ ตึก BB หรือโทรไปจองที่นั่งสอบก็ได้ที่ โทร 02-260 7061 , 02 664 3131เปิดสอบ TOEIC สองช่วงคือ เช้า 09.00 น.-12.00 น. และบ่าย 13.00น.-16.00 น.เปิดสอบทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์แนะนำให้ไปสอบช่วงเช้าเพราะคนไม่เยอะ แต่ถ้าสอบบ่ายแนะนำให้โทรไปจองก่อน

สถานที่รับสมัครสอบ
TOEIC Services Suite ศูนย์สอบกรุงเทพ
อาคาร BB Building, 1907 ชั้น 19
54  ถนน อโศก  สุขุมวิท
โทร  02-260 7061, 02-664 3131การทราบผลสอบ TOEIC


ถ้าไปสอบวันจันทร์ถึงวันพฤหัส สามารถรับผลสอบได้ในวันรุ่งขึ้นตั้งแต่ 10.00น.เป็นต้นไป


หากสอบในวันศุกร์หรือเสาร์ รับผลสอบได้วันอังคาร 10.00 น.เป็นต้นไปเช่นกัน
หากน้องไม่สะดวกที่จะไปรับผลสอบที่อาคาร BB ก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีบริการส่งผลสอบถึงที่บ้านทาง ems โดยทางศูนย์คิดค่าบริการ 30 บาทเท่านั้น


ที่มา: ETS (Educational Testing Service)คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%9atoeic-%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%9atoeic.html ..

สำรองข้อมูลกับ Dropbox

วิธีสำรองข้อมูล Dropbox ทั้งหมดลงเครื่องแบบง่ายๆรวดเร็วและได้ไฟล์ครบ!!

Dropbox free file


หากคุณได้ฝากข้อมูลแต่ไฟล์งานสำคัญหรือรูปกิจกรรมของคุณไว้ลงใน Dropbox แล้ว ถ้าคุณซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่และอยากให้เอาข้อมูลทั้งหมดใน dropbox ของคุณ ลงคอมแบบรวดเดียวจบและได้ไฟล์ครบชัวร์ๆจะทำอย่างไร ? เพราะหากใช้วิธีลงโปรแกรม dropbox sync ไฟล์แล้ว เราก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโหลดลงเครื่องครบแล้วจริงๆหรือยัง? สิ่งที่จะนำเสนอนี้จะเป็นการนำไฟล์ข้อมูลที่เคย backup ขึ้น dropbox ทั้งหมด มาลงในเครื่องคอมหรือ Harddisk ของเราแบบรวดเดียวจบและได้ไฟล์ครบชัวร์ๆด้วย

Dropbox

เพียงแค่เข้าเว็บไซต์ dropbox.com แล้วทำการ Login ด้วยชื่ออีเมลล์ของคุณและรหัสผ่าน dropbox ของคุณให้เรียบร้อย ก็จะเข้าสู่หน้าเว็บเกี่ยวกับการจัดการไฟล์ข้อมูลของเรา


เอาง่ายๆให้เลือกไฟล์ทั้งหมดใน dropbox รวดเดียวด้วยกดแป้น Ctrl + A เพื่อเลือกไฟล์ทั้งหมดใน dropbox แล้วคลิกที่ Download เลย แค่นี้ก็จะได้ไฟล์ทั้งหมดใน dropbox ของคุณลงคอมแล้ว

ที่บอกว่าได้แบบชัวร์ๆว่ามาแบบครบจริงๆ เพราะ dropbox จะเลือกไฟล์ทั้งหมดใน dropbox ของคุณมาอัดเป็นชื่อไฟล์ dropbox.zip ให้คุณโหลดเลย เมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้ทำการ Extract File เอาจ้า สะดวกแบบไม่ต้องลงโปรแกรม dropbox ให้วุ่นวาย วิธีนี้สำหรับการดึงข้อมูลลงคอมเครื่องใหม่ หรือสำรองไฟล์สำคัญทั้งหมดลงบน Harddisk อีกทีนึง

ข้อมูลจาก cnet




สรรสาระ :-e-magazine

Sunday, July 29, 2012

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Count On Me – Bruno Mars

ชื่อเพลง Count On Me – Bruno Mars

อัลบั้ม Doo-Wops & Hooligans (2010)

นักร้อง Count On Me

เนื้อเพลง Count On Me – Bruno Mars

[Verse 1]
If you ever find yourself stuck in the middle of the sea
I’ll sail the world to find you
If you ever find yourself lost in the dark and you can’t see
I’ll be the light to guide you

Find out what we’re made of
When we are called to help our friends in need

[Chorus]
You can count on me like 1, 2, 3
I’ll be there
And I know when I need it
I can count on you like 4, 3, 2
And you’ll be there
’cause that’s what friends are supposed to do oh yeah
ooooooh, oooohhh yeah yeah

[Verse 2]
If you’re tossin’ and you’re turnin
and you just can’t fall asleep
I’ll sing a song beside you
And if you ever forget how much you really mean to me
Every day I will remind you

Find out what we’re made of
When we are called to help our friends in need

[Chorus]
You can count on me like 1, 2, 3
I’ll be there
And I know when I need it
I can count on you like 4, 3, 2
And you’ll be there
’cause that’s what friends are supposed to do oh yeah
ooooooh, oooohhh yeah yeah

You’ll always have my shoulder when you cry
I’ll never let go
Never say goodbye

[Chorus]
Oh, You can count on me like 1, 2, 3
I’ll be there
And I know when I need it
I can count on you like 4, 3, 2
And you’ll be there
’cause that’s what friends are supposed to do oh yeah
ooooooh, oooohhh

You can count on me ’cause I can count on you


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87-count-on-me-bruno-mars.html ..

YouTube มีคลิปวิดีโอ Creative Commons เกิน 4 ล้านคลิป

หลังจาก YouTube รองรับ Creative Commons มาได้ครบ 1 ปีพอดี

ทาง YouTube และ Creative Commons ก็ออกมาประกาศความสำเร็จของโครงการนี้ โดยมีคลิปที่เป็น CC จำนวน 4 ล้านคลิป ความยาวคลิปรวมกันเป็นเวลา 40 ปี คลิปเหล่านี้สามารถนำไปใช้ต่อได้ในระบบ YouTube Video Editor โดยตรง ซึ่งทาง YouTube และ CC ก็กระตุ้นให้ผู้ใช้อัพโหลดคลิปที่เป็น CC กันมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการผสมผสานเนื้อหาสร้างเป็นเนื้อหาใหม่ๆ มากขึ้นตามไปด้วย

ข่าวทั้งหมดของ Blognone ก็มีสัญญาอนุญาตแบบ CC สามารถนำไปใช้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ขอเพียงแค่ให้เครดิตชื่อผู้เขียนและทำลิงก์กลับมาด้วยครับ (นำไปแปะแล้วบอกว่ามาจาก Blognone แค่นั้นไม่พอนะ)

ที่มา - YouTube Blog


บทความเจ๋ง ๆ โดยบล๊อกนัน

ลือแล้วลืออีก Facebook Phone โดย HTC เลื่อนเป็นกลางปี 2013

ลือกันมาหลายรอบแต่ยังไม่เป็นจริงสักที ล่าสุด Bloomberg อ้างแหล่งข่าววงในว่าข่าวลือเดิมที่ Facebook จับมือกับ HTC ทำสมาร์ทโฟนยังคงอยู่ แต่เลื่อนกำหนดเปิดตัวจากปลายปี 2012 เป็นกลางปี 2013 ส่วนเหตุผลที่เลื่อนเป็นเพราะ HTC ต้องแบ่งทรัพยากรไปทำโครงการอื่นๆ ของบริษัท เลยส่งผลให้โครงการนี้ล่าช้าตามไปด้วย

นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาพร้อมกันว่า Facebook จ้างทีมอดีตพนักงานแอปเปิลอย่างน้อย 4 คนมาช่วยปรับปรุง Facebook for iOS ให้มีคุณภาพมากขึ้นด้วย เวอร์ชันแก้ไขเบื้องต้นจะออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเวอร์ชันยกเครื่องครั้งใหญ่จะออกปีหน้า

ที่มา - Bloomberg


บทความเจ๋ง ๆ โดยบล๊อกนัน

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Teardrops On My Guitar – Taylor Swift

 


ชื่อเพลง Teardrops On My Guitar – Taylor Swift


อัลบั้ม Fearless


นักร้อง Taylor Swift





เนื้อเพลง Teardrops On My Guitar – Taylor Swift


Drew looks at me
I fake a smile so he won’t see
What I want, what I need
And everything that we should be


I’ll bet she’s beautiful
That girl he talks about
And she’s got everything
That I’ve had to live without


Drew talks to me
I laugh, ’cause it’s so damn funny
That I can’t even see anyone
When he’s with me


He says he’s so in love
He’s finally got it right
I wonder if he knows
He’s all I think about at night


He’s the reason for
The teardrops on my guitar
The only thing that keeps me wishing
On a wishing star
He’s the song in the car I keep singing
Don’t know why I do


Drew walks by me
Can he tell that I can’t breathe?
And there he goes, so perfectly
The kind of flawless I wish I could be


She better hold him tight
Give him all her love
Look in those beautiful eyes
And know she’s lucky


‘Cause he’s the reason for
The teardrops on my guitar
The only thing that keeps me wishing
On a wishing star
He’s the song in the car I keep singing
Don’t know why I do


So I’ll drive home alone
As I turn out the light
I’ll put his picture down
And maybe get some sleep tonight


‘Cause he’s the reason for
The teardrops on my guitar
The only one who’s got enough of me
To break my heart
He’s the song in the car I keep singing
Don’t know why I do


He’s the time taken up
But there’s never enough
And he’s all the I need to fall into


Drew looks at me
I fake a smile so he won’t see


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b8%88%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87-teardrops-on-my-guitar-taylor-swift.html ..

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Baa Baa Balck Sheep : เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก

ชื่อเพลง : Baa Baa Balck Sheep

เนื้อเพลง :  Baa Baa Balck Sheep

Baa, Baa, Black Sheep

Baa, baa, black sheep,

Have you any wool?

Yes, sir, yes, sir,

Three bags full.

One for the master,

And one for the dame,

And one for the little boy

Who lives down the lane.


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87-baa-baa-balck-sheep-%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%ab%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81.html ..

IELTS Writing – Task2 -ตัวอย่างแนวทางการเขียนและคำศัพท์

 


IELTS Essay (250 Words)


Everyone should stay in school until the age of eighteen. To what extent do you agree or disagree?


It is often said that if you want to succeed in life, you need a proper education. I would agree with this, but it is debatable whether a proper education means having to stay in school until you are 18.


Perhaps the strongest reason not leaving school early is that it prepares you for your working career. If you leave school early with only a basic education, you are unlikely to be able to find any skilled work. Indeed, the education you receive between the ages of 16 and 18 is crucial for anyone who does not want a lifetime of unskilled work in a factory. Another compelling reason for remaining in school until 18 is that school provides moral and social education too. This is particularly important for people between 16 and 18 who have many temptations and benefit from the organized framework that school provides. Young people who stay in school until the age of 18 tend to be more responsible and help build a stronger society.


There are, however, equally strong arguments against making school compulsory until the age of 18. One such argument is that not everyone is academic and that some people benefit more from vocational training. For instance, someone who wants to become a car mechanic may find better training and more satisfaction in an apprentice scheme. Another related argument is that, in today’s world, young people are maturing ever more quickly and are unable to make their own life decisions by the age of 16.


To my mind, everyone should be encouraged to stay in school until 18. However, I believe it would be a mistake to make this compulsory.


Apprentice ( n )     ผู้ฝึกงาน


compelling ( adj )  น่าสนใจ


compulsory ( adj ) มีความจำเป็น


crucial ( adj )        สำคัญมาก หรือ โหดร้าย


debatable ( adj )   โต้แย้งได้


encouraged (v3)    ถูกโน้มน้าว – ถูกกระตุ้น


extent ( n )           ขอบเขต – ขนาด


framework ( n )     ขอบข่าย – โครงร่างของงาน


maturing ( v+ing ) กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่


moral ( n )            คติ – คำสอน


provide ( v )          จัดหาให้ – จัดเตรียมไว้ให้


scheme ( n )         แผนการ – การจัดเตรียม


temptations ( n )   การล่อ – ดึงดูดให้เกิดความสนใจ
…..


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/ielts-writing-task2-%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%84%e0%b8%b3%e0%b8%a8%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b9%8c.html ..

Happy Songkran Festival – สุขสันต์เทศกาลสงกรานต์

 


Songkran Festival เทศกาลสงกรานต์


ตั้งแต่เทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่……นี่คือเทศกาลที่ทุกคนรอคอย ….ก็เพราะว่าหยุดกันหลายวันน่ะสิ อย่างนี้ก็เข้าข่าย long holidays หลายๆคนคงจะมีโอกาสได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เที่ยวกันให้สนุก หรืออาจจะพักผ่อนกันให้ชุ่มปอดเลยก็แล้วแต่คุณจะปรารถนาก็แล้วกัน


แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การเดินทางอย่างไม่ประมาท ในภาษาอังกฤษ ถ้าพูดกันแค่วลี ก็จะเป็น Have a safe trip นี่คือการบอกกล่าวเหมือนกับขอให้ผู้ที่ได้รับฟัง เดินทางด้วยความปลอดภัย เหมือนกับวลีที่ได้ยินกันบ่อยๆเช่น have a nice day หรือ have a good flight ซึ่งแปลออกมาได้ใจความว่า ขอให้วันนี้เป็นไปด้วยดี และ ขอให้มีเที่ยวบินที่ดีนะ อะไรประมาณนี้แหละ


จริงๆแล้ว สงกรานต์ก็คือ Traditional Thai New Year นั่นก็คือปีใหม่ของไทยแบบโบราณ ไหว้พระ – ทำบุญ ทำให้ง่ายที่สุดเป็นภาษาอังกฤษก็แค่ go to the temple ถ้าไปหลายวัดก็เติม s ที่ temple ซะ ยิ่งถ้าไปเก้าวัดเพื่อเสริมบุญให้สุดขลังแล้วล่ะก็ 9 temples เลย……….!
คำถามอาจจะมีว่า ทำไมต้องมีคำว่า the ด้วยล่ะ? ไม่มี ไม่พูดได้ไหม? ได้,ไม่มีก็ได้ แต่ยังไม่เนียน ที่เนียนก็เพราะว่า the น่ะมาเป็นตัวเน้นว่าเราไปวัดไหนโดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อวัด เพราะวัดมีมากมาย แต่เราต้องการที่จะบอกว่าเป็นวัดนั้นๆ และถ้าเราเอ่ยชื่อวัดแล้วล่ะก็ ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ the หรอก


อีกอย่างหนึ่งก็คือ the นั้นยังมีสรรพคุณให้คำว่า temple ศักดิ์สิทธ์ขึ้นอีก นอกจากนั้นแล้ว the ยังบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ ความเคารพ และสูงส่งอีกด้วยอีกด้วย อย่างเช่น The King of Thailand หรือ Long Live the King ซึ่ง ความหมายก็คือพระมหากษัตริย์ที่เราเคารพรักอย่างสูงสุดนั่นเอง
อ้อ! ไหนๆก็จะสงกรานต์แล้ว ขอมอบคำศัพท์ไว้หน่อยก็แล้วกัน เผื่อเอาไปใช้ได้


splash water (v) = สาดน้ำ หรือ เล่นสาดน้ำ


make merit (v) หรือ perform buddhist religious rites (v) แปลว่าทำบุญ


pay respect to…. (v) = ให้ความเคารพ หรือว่า ไหว้ก็ได้


สาธุ สาธุ นะทุกท่าน! Have a happy Thai New Year!


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/happy-songkran-festival.html ..

CERN กับการค้นพบ Higgs Boson ?

Last Updated on Friday, 13 July 2012 19:49 Written by ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

Attention: open in a new window. PDFPrintE-mail

การค้นพบอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ของคริสต์ศตวรรษที่ 21 น่าจะเป็นเรื่องใด ?        วันที่ 4 ก.ค. 2012 ที่ผ่านมา เซิร์น (CERN) หรือ องค์การวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (European Organization for Nuclear Research) แถลงข่าวการค้นพบอนุภาคมูลฐานชนิดใหม่ที่อาจจะเป็นหนึ่งในการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษนี้ และอาจสำคัญไม่ต่างกับการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ หรือการค้นพบทวีปใหม่ของโคลัมบัส        มาดูกันครับว่า เหตุใดการค้นพบอนุภาคมูลฐานชนิดใหม่ที่ชื่อ ฮิกส์ โบซอน (Higgs boson) นี้ ที่มีตำนานการค้นหายาวนานกว่า 40 ปี จึงถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นครั้งใหญ่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก       องค์ประกอบที่เล็กที่สุดของสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคยดีในชีวิตประจำวันก็คือ “อะตอม”แต่ตัวอะตอมเองก็ยังประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานที่แยกย่อยลงไปได้อีกคือ นิวตรอน โปรตอน และอิเล็กตรอน นั่นคือแนวคิดพื้นฐานที่ปรากฏในตำราหรือแบบเรียนระดับมัธยมของประเทศไทย       อันที่จริงแล้วแบบจำลองทางฟิสิกส์ที่ดีที่สุดซึ่งนักฟิสิกส์ใช้กันอยู่ เพื่ออธิบายเกี่ยวกับส่วนประกอบที่เล็กสุดๆ จนยากจินตนาการถึงได้เหล่านี้เรียกว่า แบบจำลองมาตรฐาน หรือ Standard Model ยังมีรายละเอียดมากกว่านั้นอีกมาก เช่น แม้แต่อนุภาคเช่น นิวตรอน และโปรตอน เองก็ยังประกอบไปด้วย อนุภาคมูลฐาน (Elementary particle) ละเอียดลงไปอีก        คำว่า “อนุภาคมูลฐาน” ก็คือ อนุภาคที่ไม่มีส่วนประกอบอื่นๆ ภายในอีกแล้ว ตัวอย่างอนุภาคมูลฐานที่ค้นพบแล้วอยู่ในตารางข้างล่างนี้Diagram of the Standard Modelตารางแสดงอนุภาคมูลฐานตามแบบจำลองมาตรฐาน (ภาพ : AAAS)       กล่าวโดยย่อๆ อนุภาคมูลฐานแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เฟอร์มิออน (fermion) ที่มีเลขสปินเป็นจำนวนครึ่ง และโบซอน (boson) ที่มีเลขสปินเป็นจำนวนเต็ม โดยเฟอร์มิออนยังแบ่งต่อไปอีกเป็นควาร์ก (Quark) (สีเขียวในตาราง) และเลปตอน (Lepton) (สีน้ำเงินในตาราง) ซึ่งเรียกรวมๆ เป็น อนุภาคสสาร (matter particle) หรือเป็นอนุภาคที่เป็นส่วนประกอบในสสาร       ส่วน โบซอน (Boson) (สีม่วงในตาราง) ทำหน้าที่เป็น พาหะแรง (Force carrier) หรือพูดง่ายก็คือ พวกมันเป็นตัวกลางหรือสื่อของแรงพื้นฐานทั้ง 4 แรงตามธรรมชาติ เช่น แรงแม่เหล็กไฟฟ้า หรือแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (เช่น ที่พบขณะเกิดการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี) เป็นต้น ซึ่งก็รวมถึงอนุภาคฮิกส์ที่เชื่อกันว่าเป็นอนุภาคที่เกี่ยวข้องกับการมีมวลของอนุภาคมูลฐานบางตัวจินตนาการง่ายๆ ก็คล้ายกับเป็นโมเลกุลของอากาศเป็นตัวกลางนำเสียงนั่นเอง       ผลจากการทดลองต่างๆ พบว่า อนุภาคบางตัวมี มวล (Mass) ทั้งๆ ที่ในแบบจำลองมาตรฐาน อนุภาคมูลฐานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีมวลแต่อย่างใด ซึ่งก็ไม่ได้ขัดต่อหลักการทางฟิสิกส์ต่างๆ ที่แบบจำลองมาตรฐานนั้นตั้งอยู่และสร้างขึ้นมา แต่มวลเป็นพารามิเตอร์อิสระที่ต้องเพิ่มเข้าไปในทฤษฎี เพื่อให้ผลการคำนวณสอดคล้องกับผลการทดลอง       คำถามสำคัญจึงกลายเป็นว่า เหตุใดอนุภาคมูลฐานเหล่านี้จึงมีมวลแตกต่างกันมาก และเหตุใดบางตัวไม่มีมวลเลย กลไกการได้มาซึ่งมวลของอนุภาคมูลฐานเป็นอย่างไรกันแน่       สมมติฐานหนึ่งที่ใช้อธิบายเรื่องดังกล่าวก็คือ น่าจะมีอนุภาคมูลฐานบางชนิดที่ขาดหายไปจากแบบจำลองมาตรฐานนี้ และหนึ่งในจำนวนนั้นที่เสนอโดยนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ปีเตอร์ ฮิกส์ (Peter Higgs) และคนอื่นๆ ในปี ค.ศ.1964 ก็คือ อนุภาคมูลฐานที่ปัจจุบันเรียกว่า ฮิกส์โบซอน (Higgs Boson) นั่นเองอนุภาคพระเจ้า กับ ทฤษฎี “มวล” สุดพิลึก       ฮิกส์โบซอนนั้นรู้จักกันอย่างกว้างขวางในอีกชื่อหนึ่งว่า “อนุภาคพระเจ้า” แต่เหตุใดอนุภาคมูลฐานชนิดหนึ่งจึงกลายเป็น “อนุภาคพระเจ้า” ไปได้ ? และมันทำให้เกิดมวลได้อย่างไร ?       ลีออง ลีเดอร์แมน (Leon Lederman) เรียกขานฮิกส์โบซอนว่า “อนุภาคพระเจ้า” ในหนังสือ The God Particle: If the Universe Is the Answer, What Is the Question? ของเขา และทำให้ชื่อนี้กลายเป็นคำเรียกติดปากคนนอกชุมชนวิทยาศาสตร์ไปในที่สุด แม้ว่าตัวฮิกส์เองจะไม่ชอบชื่อเรียกที่ชวนเข้าใจผิดนี้เท่าใดนัก สมญา “อนุภาคพระเจ้า” นี้จึงไปคล้ายกับกรณีของชื่อเรียกทฤษฎีกำเนิดจักรวาลที่ว่า “บิ๊กแบง (Big Bang)” ที่ชวนเข้าใจผิด เพราะในยามนั้นอนุภาคต่างๆ ที่ทำให้เกิดเสียงหรือเป็นตัวกลางถ่ายทอดเสียงล้วนแต่ยังไม่เกิดขึ้นทั้งสิ้น       ฮิกส์โบซอนทำให้เกิด “มวล” ได้อย่างไรกันแน่ ?         ฮิกส์และนักฟิสิกส์อื่นๆ อีก 5 คนประกอบด้วย โรเบิร์ต เบราท์ (Robert Brout) ฟรองซัว อองแกลรท์ (Fran?ois Englert) ทอม คิบเบิล (Tom Kibble) ซี.อาร์.เฮเกน (C.R. Hagen) และเจรัลด์ กูรัลนิค (Gerald Guralnik) เสนอทฤษฎีพิลึกพิลั่นที่อธิบายว่า ฮิกส์โบซอนทำให้เกิดมวลได้อย่างไร ตัวอย่างคำอธิบายที่แพร่หลายอาศัยการเปรียบเทียบดังนี้คือ หากมีห้องหนึ่งที่มีนักฟิสิกส์จำนวนหนึ่งนั่งพูดคุยกันอยู่ เราอาจเรียกห้องนี้ว่าเป็น สนามฮิกส์ (Higgs Field)  แผนภาพอย่างง่ายอธิบายวิธีการทำให้เกิดมวลของฮิกส์โบซอน (ภาพ: CERN / UCL)แผนภาพอย่างง่ายอธิบายวิธีการทำให้เกิดมวลของฮิกส์โบซอน (ภาพ: CERN / UCL)       ครั้นเมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังสักคนเดินเข้ามาในห้อง ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น เขาหรือเธอผู้นั้นจะถูกแวดล้อมด้วยบรรดาผู้คน อาจจะต้องมีการหยุดให้ลายเซ็นและพูดคุย ผลก็คือจะเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดอื่นๆ ของห้องยากขึ้น เปรียบเสมือนเขาหรือเธอมี “มวล” ขึ้น เพราะ “สนาม” ที่เกิดจากแฟนคลับทั้งหลายนั่นเอง ในภาวะดังกล่าวนี้แฟนคลับแต่ละคน ก็คล้ายกับเป็นฮิกส์โบซอนแต่ละตัว        หากสถานการณ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย นักวิทยาศาสตร์ที่เดินเข้าห้องมา “ดัง” ไม่มากเท่ากับในรายแรก กลุ่มคนที่มาล้อมรอบก็จะลดน้อยลงไปด้วย นักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวก็จะเดินไปมาในห้องได้สะดวกมากกว่า นักวิทยาศาสตร์ในกรณีหลังนี้จึงมี “มวล” น้อยกว่านักวิทยาศาสตร์คนแรก ดังนั้นตามทฤษฎีนี้ควรจะมีสนามฮิกส์แพร่กระจายอยู่ทั่วไปในเอกภพเพื่อทำให้อนุภาคต่างๆ มีมวล   เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ... ไวกว่าสายฟ้าแลบ       แม้การค้นพบหรือพิสูจน์การมีอยู่ของฮิกส์โบซอน อาจจะนำชื่อเสียงมาให้ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่โฉมหน้าใหม่ของฟิสิกส์ได้ แต่ภารกิจนี้ทำได้ไม่ง่ายเลยด้วยหลายสาเหตุด้วยกัน       สมบัติต่างๆ ของฮิกส์โบซอนที่พอจะทำนายได้นั้น ระบุได้เพียงคร่าวๆ น่าจะเป็นอนุภาคมูลฐานที่มีมวลมาก (คือเทียบเท่ากับอะตอมขนาดกลางๆ) พวกมันน่าจะไม่มีประจุและสปิน (Spin) ซึ่งทำให้จัดเข้าพวกได้กับ “โบซอน” ในตารางข้างต้นนั่นเอง       สมบัติอื่นๆ ที่ทำนายไว้กลับยิ่งทำให้การค้นหาฮิกส์โบซอนทำได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือมันน่าจะไม่เสถียรและสลายตัวแทบจะในทันทีทันใดที่เกิดขึ้น แถมยังตรวจจับโดยตรงไม่ได้ แต่จะตรวจจับได้ก็ต่อเมื่อทำปฏิกิริยากับอนุภาคมูลฐานอื่นๆ เท่านั้น       จากสมบัติต่างๆ ข้างต้นนี่เอง ทำให้ CERN และสถานีทดลองที่มีเครื่องเร่งอนุภาคพลังงานสูงทั่วโลก เช่น เฟอร์มีแล็บ (Fermilab) ที่มีเครื่องเร่งอนุภาค เทวาตรอน (Tevatron) ของสหรัฐฯ ต่างก็หมายมั่นปั้นมือที่จะเป็นผู้ค้นจนพบฮิกส์โบซอนเป็นรายแรกให้จงได้        ในเมื่อตรวจจับฮิกส์โบซอนได้ยากขนาดนั้น ทางนักวิทยาศาสตร์ของ CERN มั่นใจได้อย่างไรว่าได้ค้นพบว่าฮิกส์โบซอนแล้วจริงๆ ?ตำแหน่งของ CMS ในเครื่องเร่งอนุภาค LHC (ซ้าย) และภาพตัดขวางของเครื่องตรวจวัดอนุภาค CMS (ภาพ : Wikipedia)       CERN และสถานีวิจัยแห่งอื่นๆ ใช้วิธีคล้ายคลึงกันคือ เร่งอนุภาคบางอย่างจนมีความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง ซึ่งก็ทำให้อนุภาคเหล่านั้นมีพลังงานสูงมากๆ ก่อนบังคับให้ชนกันและบันทึกผลการแตกตัวที่เกิดขึ้น ซึ่งจะได้เป็นอนุภาคมูลฐานต่างๆ มากมายมหาศาล พุ่งชนกันไปมานับครั้งแทบไม่ถ้วนในแต่ละเสี้ยววินาที จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์แยกแยะว่า สิ่งที่ตรวจพบนั้นคืออนุภาคใดกันแน่       เมื่อทดลองอย่างต่อเนื่องก็ทำให้สามารถตัดความน่าจะเป็นของฮิกส์โบซอนในช่วงที่ระดับมวลมากหรือน้อยเกินไป จนค่อยๆ ได้ช่วงมวลที่น่าจะถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ในที่สุด       ข้อมูลหลักที่ CERN ใช้สรุปว่าค้นพบฮิกส์โบซอนแล้วจริงๆ มาจากสถานีตรวจจับวัดอนุภาค 2 แห่งคือ ซีเอ็มเอส (CMS, Compact Muon Solenoid) และแอ็ทลาส (ATLAS, A Toroidal LHC Apparatus) ที่เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC, Large Hadron Collider) ที่มีความยาวเส้นรอบวงที่ใช้เร่งความเร็วของอนุภาคยาวถึง 27 กิโลเมตร       การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก CMS และ ATLAS ทำให้ทราบว่าในการทดลอง 2 ชุด ชุดหนึ่งหลังจากทดลองยิงโปรตอน 2 ตัวเข้าหากันด้วยพลังงานรวม 8 TeV เกิดฮิกส์โบซอนขึ้น ก่อนสลายตัวกลายเป็นโฟตอนคู่หนึ่งEvent recorded with the CMS detector in 2012 at a proton-proton centre-of-mass energy of 8 TeV. The event shows characteristics expected from the decay of the SM Higgs boson to a pair of photons (dashed yellow lines and green towers). The event could also be due to known standard model background processes.ภาพการวิเคราะห์ข้อมูลชุดนี้ แสดงผลหลังการชนกันของโปรตอน 2 ตัวที่มีพลังงานระดับ 8 TeV ได้เป็น “ฮิกส์โบซอน” ที่แตกตัวต่อกลายเป็นโฟตอน 2 ตัว แสดงด้วยเส้นประสีเหลืองและแท่งสีเขียว (ภาพ : CERN)       ขณะที่อีกการทดลองหนึ่งที่โปรตอน 2 ตัวชนกันด้วยพลังงานรวม 8 TeV เช่นกัน มีฮิกส์โบซอนเกิดขึ้น ก่อนสลายกลายไปเป็น Z boson 1 คู่ ซึ่งต่อมา Z boson ดังกล่าวตัวหนึ่งก็กลายไปเป็นอิเล็กตรอน คู่หนึ่ง ในขณะที่ Z boson อีกตัวหนึ่งสลายกลายไปเป็นมิวออน (muon) คู่หนึ่ง ในการทดลองทั้งคู่ดังกล่าว อนุภาคฮิกส์โบซอนที่พบมีมวลราว 125 GeV เท่าๆ กัน<strong>Figure 2.</strong> Event recorded with the CMS detector in 2012 at a proton-proton centre-of-mass energy of 8 TeV. The event shows characteristics expected from the decay of the SM Higgs boson to a pair of Z bosons, one of which subsequently decays to a pair of electrons (green lines and green towers) and the other Z decays to a pair of muons (red lines). The event could also be due to known standard model background processes.ภาพการวิเคราะห์ข้อมูลชุดนี้ แสดงผลหลังการชนกันของโปรตอน 2 ตัวที่มีพลังงานระดับ 8 TeV ได้เป็นฮิกส์โบซอนที่แตกตัวต่อกลายเป็น Z boson 2 ตัวที่แตกตัวต่อไปกลายเป็นอิเล็กตรอน 2 ตัว (เส้นและแถบเขียว) และมิวออน 2 ตัว (เส้นสีแดง) (ภาพ : CERN)       TeV, Teraelectronvolt) เท่ากับ 1 ล้านล้านอิเล็กตรอนโวลต์ ในขณะที่หน่วยจิกะอิเล็กตรอนโวลต์ (GeV, Gigaelectronvolt) เท่ากับ 1 พันล้านอิเล็กตรอนโวลต์ โดยต่างก็เป็นหน่วยวัดพลังงาน แต่เนื่องจากอนุภาคที่ศึกษามีขนาดเล็กมาก การวัดด้วยหน่วยพลังงานแบบนี้สะดวกกว่าการใช้หน่วยมวลตามปกติอันที่จริงแล้วมวลกับพลังงานก็เปลี่ยนไปมาได้ตามสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานของไอน์สไตน์คือ E = mc2       ผลการทดลองข้างต้นเชื่อถือได้เพียงใด ?       นักฟิสิกส์ประเมินค่าความน่าเชื่อถือของการทดลองนี้ว่า ในทางสถิติโอกาสที่สิ่งที่ตรวจพบนั้นเป็นแค่ความแปรปรวนทางสถิติเท่านั้น มีโอกาสเกิดเพียงแค่ 1 ใน 3 ล้านเท่านั้น แต่กระนั้นทาง CERN เองและสำนักข่าวหลายแห่งก็ยังใช้คำว่า อนุภาคคล้ายฮิกส์โบซอน (Higgs-like boson) ในการแถลงข่าวคราวนี้ ทีมวิจัยที่ CERN วางแผนจะทดสอบซ้ำและตรวจวัดสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติมอีก เช่น ค่า spin และ parity        ไม่ว่าอนุภาคใหม่ที่ค้นพบนี้จะเป็นฮิกส์โบซอนจริงหรือไม่ การค้นพบครั้งนี้ก็คล้ายกับการเปิดประตูบานใหม่ด้านฟิสิกส์อนุภาค และมีโอกาสไม่น้อยที่จะนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน        งานวิจัยพื้นฐานทางฟิสิกส์สมัยใหม่ในลักษณะนี้ ต้องลงทุนและใช้งบประมาณมหาศาล อีกทั้งต้องใช้ความพยายามสูงยิ่งจนน่าทึ่ง ดังเช่น เครื่องตรวจวัดอนุภาค CMS นี้ออกแบบสร้างตั้งแต่ปี 1992 มีความยาวเกือบ 29 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร และหนักถึง 14,000 ตัน รวมเวลาก่อสร้างนานถึง 16 ปี มีจำนวนผู้มีส่วนร่วมมากมายยิ่ง คือประกอบด้วยนักฟิสิกส์ 3,275 คน (นักศึกษาอีก 1,535 คน) วิศวกรและช่างเทคนิค 790 คน จากสถาบันวิจัยรวม 179 แห่งใน 41 ประเทศทั่วโลก ซึ่งน่าภูมิใจว่าในจำนวนนั้นก็มีนักฟิสิกส์ชาวไทยรวมอยู่ด้วย        ทุกครั้งที่เราได้ความรู้พื้นฐานใหม่ๆ เช่นนี้ ก็มักนำไปสู่การประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างคาดไม่ถึงเสมอ คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าในคราวนี้จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ อย่างไร

ศ.ดร.ไพรัช ธัชพงษ์, ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์, ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และดร.บุรินทร์ อัศวพิภพ สำหรับคำแนะนำในการเตรียมต้นฉบับ

เขียนโดย 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

คัดลอกจาก : http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/8572-cern-higgs-boson

Sentence แปลไม่ลงตัว..เข้ามาดูกันได้เลย

 


Sentence
แปลไม่ลงตัว……….เข้ามาดูกันได้เลย


หลายคนคงอาจจะเคยเจอกับปัญหาการแปลประโยคจากไทยเป็นอังกฤษที่ไม่ลงตัวซัก กะที นั่นก็เป็นเพราะว่า ประโยคที่เป็นภาษาไทยน่ะ มันชินกับปากพวกเราซะแล้ว และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ไทยพูดอย่างนี้แต่ฝรั่งพูดอีกอย่างนึง


นี่ก็คือเหตุผลที่เราจัดมุมนี้ให้คุณได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา เก็บเกี่ยวประโยคต่างๆที่น่าสนใจ และเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่นำเสนอในคอลัมน์นี้ คงจะมีประโยชน์สำหรับหลายๆคน เพื่อที่จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ
ไหนๆคอลัมน์นี้เพิ่งจะคลอด เราก็เลยอยากที่จะนำเสนอประโยคที่โยงใยเกี่ยวกับเรื่องคลอดๆนี่แหละ จะได้เป็นสิริมงคลกับคอลัมน์นี้  ประโยคที่พวกเราคิดอย่างไทย แต่ต้องแปลอย่างฝรั่งเท่านั้นถึงจะลงตัว คราวนี้แหละ คุณก็จะร้องอ๋อ มันต้องอย่างนี้นี่เอง


คนไทยเรา พอเจอคนที่รู้จักกันตั้งครรภ์ ขออนุญาตเรียกง่ายๆว่าท้องก็แล้วกันนะ  เราก็มักจะถามกันว่า ท้องกี่เดือนแล้ว? โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเห็นท้องของคนนั้นมีลักษณะเห็นได้ชัดพอที่จะรู้ว่า ท้อง ไม่ใช่แน่นอนว่าเกิดจากอาการอุดมสมบูรณ์อันเนื่องมาจากการรับประทานอันเกิน ควรในการใช้ภาษาอังกฤษ  ฝรั่งกลับถามไม่เหมือนเรา เขามักจะถามกันว่า “คุณครบกำหนดคลอดเมื่อไหร่?” และมักจะไม่ถามว่าท้องกี่เดือนแล้ว  พอมาแปลเป็นภาษาอังกฤษ เราก็จะได้ “When are you due?” เราจะเห็นได้ว่าไม่มีคำว่าคลอดเลย เข้าใจกันน่ะ
คราวนี้ถึงคิวคนตอบบ้างล่ะ คำตอบก็คือ “I’m due in June”  นั่นก็แสดงว่า ผู้ที่ตั้งท้องนั้นตั้งท้องได้ราวๆสามถึงสี่เดือนแล้ว ซึ่งคุณจะต้องใช้ทักษะในการบวก ลบ คูณ หาร ซักหน่อย ว่าท้องใหญ่ขนาดนี้ คลอดเดือนนี้ นำมาถอดรหัสกับระยะเวลาของการตั้งท้องประมาณเก้าเดือน คิดหน่อยๆ  หรือไม่เขาก็อาจจะตอบแบบง่ายกว่าก็มีเช่น “I am three months pregnant”  อันนี้แบบตรงๆเลยว่า “ไอน่ะ ท้องสามเดือนแล้ว”


 


คุณเห็นหรือยังล่ะว่า ถ้าแปลจากไทยเป็นอังกฤษคงจะปวดหัวน่าดูทีเดียว ไม่ลงตัวแน่ๆ
ไม่มีคำว่ากี่เดือน ( how many months ) ซักกะนิดนึงเลย  คราวนี้ เจอคนท้องเข้าล่ะก็ ถามได้เลยนะ แต่อย่าไปถามแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหกเจ็ดเข้าล่ะ เสียมารยาท


ขอแนะนำอีกนิดนึงนะ  ถ้าจะเอาแบบจบเนียนๆ พูดไปเลย “ Congratulations “ อย่าลืมออกเสียง S ด้วยล่ะ  “ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”    รับรองได้เลย คนท้องปลื้ม คุณเองก็จะเป็นที่ปลื้มในใจของผู้นั้นว่า ภาษาอังกฤษยู…..แจ๋ว!


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%a4%e0%b8%a9%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%88%e0%b8%b3%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%99-sentence%e0%b9%81%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%a2.html ..

Saturday, July 28, 2012

ถึงเวลาแล้ว สำหรับการศึกษาทางไกล เมื่อตลาด E-learning เติบโตสู่โมบายล์ในเอเชีย

จากความนิยมและแพร่หลายในการใช้งานแท็ปเล็ต และโทรศัพท์มือถือในเอเชีย ส่งผลให้ธุรกิจการเรียนแบบ E-Learning เติบโต สามารถเผยแพร่หลักสูตรและเนื้อหาของ E-learning สู่ผู้เรียน ที่สามารถเข้าถึงผ่านอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น


การศึกษาทางไกลโดยใช้เทคโนโลยีช่วยในการเรียนการสอน หรือที่เราเรียกว่า E-Learning ได้รับการพัฒนารูปแบบของเนื้อหา หลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งแก้ปัญหาสถานที่เรียนไม่พอ และการเดินทางไปเรียนซึ่งยากลำบาก จริงๆแล้วการศึกษาทางไกลนั้นมีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับการศึกษาทางไกลมาหลายปี แต่ระยะหลังๆนี้ ยอมรับว่า อุปกรณ์แท็ปเล็ตและโมบายล์เข้ามาเปิดโอกาสในการเข้าถึงให้ง่ายขึ้น


โดยคุณ Carsten Rosenkranz ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒาธุรกิจของผู้ให้บริการการศึกษาผ่าน อี-เลิร์นนิ่ง ได้กล่าวว่า จากความนิยมและแพร่หลายของแท็ปเล็ต และสมาร์ทโฟน หลายๆบริษัทในเอเชียเริ่มที่จะวางแผนหาช่องทางที่ยืดหยุ่นในการนำเสนอแบบเรียนและหลักสูตรการเรียนการสอนไปสู่ผู้เรียน


ด้าน Ian Huckabee CEO ของบริษัทที่สร้างแพล็ตฟอร์มอี-เลิร์นนิ่ง WeejeeLใน North Carolina ได้สนับสนุนว่า ก่อนหน้านี้บริษัทไม่ได้มีลูกค้าในเอเชียเลย แต่เขาก็สังเกตว่าตลาดโลกกำลังเพ่งความสนใจไปที่อุปกรณ์โมบายล์ในอาเซียน และพัฒนาเนื้อหาหลักสูตรให้สอดคล้องกับตลาดท้องถิ่น


ส่วนทาง Rosenkranz ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การศึกษาทางไกลผ่านโมบายล์ เลิร์นนิ่ง นั้นเหมือนกับการเรียนแบบพกพา เพียงแค่ใช้เวลาว่างในการเข้าถึงผ่านอุปกรณ์พกพา แต่คงต้องดูกันต่อไปถึงเทรนด์ของการใช้อุปกรณ์กับการศึกษาทางไกล เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น


บริษัทที่พัฒนาแพล็ตฟอร์มการเรียนรู้ได้เสริมอีกว่า บริษัทในอาเซียน เริ่มพัฒนาระบบการศึกษาทางไกลในหลากหลายช่องทาง ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเขาเชื่อว่า บริษัทในอาเซียนพัฒนาหลักสูตรและวิธีการนำเสนอการศึกษาทางไกล เนื่องจากเหตุผลของด้านงบประมาณที่จำกัด โดยองค์กรขนาดใหญ่อย่างเช่น เทลโก้ สิงคโปร์ เทเลคอมมูนิวเคชั่น ธนาคารอย่าง UOB และ DBS ต่างก็เข้ามาช่วยเหลือธุรกิจอี-เลิร์นนิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น หลายๆบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน


อย่างไรก็ตาม Rosenkranz ได้ให้ความเห็นว่า อี-เลิร์นนิ่งยังคงอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนาในภูมิภาคนี้ เขาคาดว่า ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ของบริษัทกว่า 500 บริษัท จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และใช้อีเลิร์นนิ่งในด้านการศึกษา


E-learning กำลังเข้าสู่ยุคของสังคมออนไลน์มากขึ้น 


ในขณะที่เทรนด์ mobility เป็นอนาคตของอี-เลิร์นนิ่ง หลายๆบริษัทก็มีการนำเอาซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนคลาวด์มาประยุกต์ใช้ในการให้บริการ SCORM (Sharable Content Object Reference Model) คือโมเดลของการแชร์คอนเทนต์ผ่านการอ้างอิงเนื้อหาโดยใช้โซเชียลในการขับเคลื่อนเพื่อการจัดการและแก้ปัญหา และอนาคตต่อไปของอี-เลิร์นนิ่งจะใช้ระบบการบริหารจัดการเพื่อเชื่อมโยงกับผู้เรียน วัดผลการเรียนรู้ และนำไปสู่การร่วมกันนำเสนอผ่านเครื่องมือของโซเชียล


นอกจากนี้ Huckabee ยังบอกอีกว่า การศึกษาทางไกลจะนำโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง Facebook และ YouTube มาใช้เป็นช่องทางในการนำเสนอเพื่อการศึกษา ซึ่งโซเชียลมีเดียและวีดีโอจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ในช่วงเริ่มต้น


ส่วนการนำการศึกษาทางไกลมาช่วยในการเรียนในห้องเรียนนั้น ทำให้การเรียนรู้ไม่เหมือนยุคก่อน โดยสามารถที่จะนำการศึกษาทางไกลไปใช้ในการทบทวนบทเรียนย้อนหลังได้ แม้ว่าการนั่งในห้องเรียนจะสามารถยกมือถามอาจารย์ได้ แต่การเรียนรู้ของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยบางคนสามารถขอคำอธิบายของอาจารย์เฉพาะจุดที่ตนไม่เข้าใจ โดยไม่ต้องกลัวว่าเพื่อนๆในห้องจะเสียเวลาเรียนเพราะอาจารย์มัวแต่ตอบคำถามนักเรียน โดยเทคโนโลยีที่นำมาใช้ก็คือ กล้องเว็บแคมที่สามารถทำได้เหมือนกับการเรียนในห้องเรียน


ที่มา : ไอที  24 ชั่วโมง


 

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง We Wish You a Merry Christmas

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง We Wish You a Merry Christmas |


 





เนื้อเพลง We Wish You a Merry Christmas


We wish you a merry Christmas

We wish you a merry Christmas

We wish you a merry Christmas

And a happy New Year.

Good tidings we bring

To you and your kin;

Good tidings for Christmas

And a happy New Year!

Oh, bring  us a figgy pudding

Oh, bring  us a figgy pudding

Oh, bring  us a figgy pudding

And a cop of good cheer

Good tidings we bring

To you and your kin;

Good tidings for Christmas

And a happy New Year!

We won’t go until we get some

We won’t go until we get some

We won’t go until we get some

So bring it out here!

Good tidings we bring

To you and your kin;

Good tidings for Christmas

And a happy New Year!

We wish you a Merry Christmas

We wish you a Merry Christmas

We wish you a Merry Christmas

And a happy New Year.

Good tidings we bring

To you and your kin;

Good tidings for Christmas

And a happy New Year.

อ้างอิงวิดีโอจากเว็บ http://www.MISbook.com หรือ http://www.MISplaza.com

บทความที่เกี่ยวข้องเรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Wish You Were Here – Avril Lavigne (0)เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Till The World Ends – Britney Spears (1)เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Somebody To Love – Justin Bieber Ft. Usher (0)เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง On My Mind – Cody Simpson (0)เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง Never Say Never – Justin Bieber Feat. Jaden Smith (0)Tagged with: ฟังเพลงภาษาอังกฤษ    เพลงภาษาอังกฤษ    เรียนภาษาอังกฤษด้วยเพลงแสดงข้อความคิดเห็นกดที่นี่เพื่อยกเลิกการตอบ


 


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%87-we-wish-you-a-merry-christmas.html ..

แฮค MAC App Store ได้แล้ว

หลังจากที่แอปเปิลได้แก้ไขช่องโหว่ใน iOS ที่ Alexey Borodin นักพัฒนาชาวรัสเซียแฮคระบบ in-app purchasing โดยไม่ต้องจ่ายเงินไปแล้ว ล่าสุดแฮคเกอร์คนนี้ก็ใช้วิธีเดียวกันในการแฮค in-app purchases บน Mac OS X บ้าง

การแฮคครั้งนี้สามารถทำได้บน OS X ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.7 ขึ้นไป (ส่วนเวอร์ชันเก่ากว่านั้นจะไม่รองรับ Mac App Store ) ซึ่งวิธีการก็ไม่ยาก คล้ายกับการแฮค iOS ที่เคยทำมา สิ่งที่ต้องทำก็คือ ติดตั้ง system certificate, เปลี่ยนค่า DNS เพื่อนำไปยังเซิร์ฟเวอร์ของเขา และใช้แอพใหม่ที่มีชื่อว่า “Grim Receiper” ที่ทำขึ้นมาเพื่อแฮค Mac OS X และทำหน้าที่เก็บใบเสร็จสำหรับการนำมาใช้ใหม่ โดยพื้นฐานแล้ว Borodin ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของ in-app purchases แทนที่จะจ่ายเงินซื้อจากเครื่องหรือบัญชีผู้ใช้โดยตรง แต่กลับใช้ใบเสร็จของ in-app purchase มาใช้ใหม่

เมื่อวานแอปเปิลได้ออกมาประกาศแล้วว่าใน iOS 6 ได้แก้ไขให้การแฮคของ Borodin ใช้งานไม่ได้แล้ว รวมถึงเพิ่ม unique device IDs (UDIDs) ไปกับใบเสร็จของ in-app purchase ด้วย ซึ่งทางผู้พัฒนาจะต้องรับรองใบเสร็จ in-app purchase ก่อนที่จะส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแอปเปิล

แอปเปิลพยายามตัด Borodin ออกจากเซิร์ฟเวอร์ด้วยการใช้ IP address ของเขาและกดดันให้ ISP ปิดเว็บไซต์ของเขา แต่สุดท้าย Borodin ก็เปิดเว็บไซต์ขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยการใช้ ISP ต่างประเทศและกำลังคิดหาวิธีการใหม่ๆในการแฮค in-app purchases โดยไม่ผ่าน App Store

ที่มา http://www.dailygizmo.tv/


 

ระวัง!! อาชญากรรมออนไลน์ เตรียมยกระดับโจมตีผ่านทางเทคโนโลยี Cloud

มีรายงานข่าวที่น่าสนใจจาก cnet ที่เสนอผลวิจัยจาก McAfee and Guardian Analytics ได้นำเสนอวิเคราะห์อาชญากรรมทางออนไลน์ คาดว่าจะพบเหตุอาชญากรรมโลกไซเบอร์ยกระดับผ่านทางเทคโนโลยีกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) มากขึ้น


ซึ่งตามรายงานพบว่ามีเหตุการณ์โอนเงินจำนวนมหาศาลผ่านทางธนาคารออนไลน์ในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ โดยมาจากการที่เหยื่อหลงคลิกลิงค์จากพวกอีเมลหลอกลวงที่อ้างเป็นธนาคารว่า Phishing (ฟิชชิ่ง) นี่เอง แต่ครั้งนี้ใหญ่กว่านั้น


โดยลิงค์นี้จะชวนเปลี่ยนรหัส password เมื่อคลิกไประหว่างนั้นจะมีการดาวน์โหลดพวกโทรจันและมัลแวร์ติดไว้ในเครื่อง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณตกเป็นเหยื่อของพวกมัลแวร์ทันที และคอยดักเข้าสู่เว็บไซต์ธนาคารที่คุณใช้ผ่านทางบราวเซอร์  หากดูกรณีนี้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากมัลแวร์ติดบนเครื่อง server ที่เป็น Cloud ขึ้นมาความเสียหายนี้มหาศาล ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้สามารถดูเหตุกรณีศึกษาได้จากข่าว cnet  และผลวิเคราห์จากทางหน่วยงาน McAfee and Guardian Analytics


ข่าวนี้จะเป็นการเตือนหน่วยงานไอทีต่างๆ ในเรื่องระบบความปลอดภัยของ Cloud ที่ คาดว่าหน่วยแฮ็คเกอร์หรืออาชญากรรมทางโลกออนไลน์จะยกระดับเตรียมโจมตีผ่านทาง Cloud Computing มากขึ้นกว่าพวก  Network PC  ในอนาคต โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่มีโครงการจะเตรียมนำข้อมูลต่างๆของประชาชนมาขึ้น Cloud Computing ก็ต้องให้ความสำคัญมากในเรื่องระบบความปลอดภัยเป็นอันดับแรกด้วย

ที่มา : ไอที 24 ชั่วโมง


 

วิธีการสมัครสอบ TOEFL

 


วิธีการสมัครสอบ TOEFL ในประเทศไทย มี 3 วิธี

ทางอินเตอร์เนตผ่าน  www.ets.org (ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็ว และ สะดวกที่สุด โดยสามารถสมัครได้ตลอดเวลา ) ต้องสมัครล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน  โดยจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต Visa, Master, หรือ AMEX ทางจดหมาย ส่งไปที่ มาเลเซีย โดยใบสมัครต้องได้รับก่อนวันสอบ อย่างน้อย 4 อาทิตย์ทางโทรศัพท์ทางไกล โดยต้องสมัครล่วงหน้า อย่างน้อย 7 วัน

ค่าสมัครสอบ TOEFL iBT
ค่าสอบ  $160 หากสมัครตามปกติ  แต่ถ้าหากสมัครก่อนสอบเพียง 3 วันต้องเสียค่าสมัครช้าอีก $25


ที่มา: ETS (Education Testing Service)


…..


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%9atoefl-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%9atoefl.html ..

รัฐวอชิงตัน เปิดให้ลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์เลือกตั้งผ่าน Facebook ได้ด้วย!

ที่รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา กำลังจะเตรียมเปิดให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ได้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านทางช่องทาง Facebook โดยผู้อยู่อาศัยในรัฐวอชิงตัน สามารถลงทะเบียนเพื่อขอลงคะแนนเลือกตั้ง ผ่านทาง Facebook Page ของศูนย์อำนวยการเลือกตั้งรัฐวอชิงตัน


Shane Hamlin ผู้อำนวยการการเลือกตั้งในกรุงวอชิงตัน ให้ความเห็นว่า เป็นแนวความคิดที่ดีที่จะนำ Facebook มาเป็นช่องทางใหม่ในการลงคะแนนเสียง  โดยเฉพาะวัยรุ่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งมีสิทธิ์การเลือกตั้ง ก็จะมาร่วมใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากขึ้น และอำนวยความสะดวก เข้าถึงประชาชนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีประชากรมากถึง 3.7 ล้านคน  แต่การเลือกตั้งครั้งนี้เท่าที่ทราบจากทาง Facebook Page ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งรัฐวอชิงตัน จะเปิดให้เลือกตั้งโหวตผ่านทางเว็บบราวเซอร์ Internet Explorer เท่านั้น เพราะทางบราวเซอร์ Chrome และ Firefox ระบบจะไม่รองรับ


และนอกจากนี้ facebook ไม่ได้แค่ช่วยในเรื่องเฉพาะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น เพราะล่าสุด CNN ร่วมมือกับ Facebook ในการรายงานโพลเลือกตั้งสหรัฐฯ และ Social Bakers ก็มีรายงานผลกระทบของสื่อ Social Network ของผู้สมัคร ระหว่าง ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน กับคู่ท้าชิง มิตต์ รอมนีย์ จากพรรครีพลับริกัน

ที่มา : ไอที 24 ชั่วโมง


 

เรียนภาษาอังกฤษจากนิทานอีสปเรื่อง นกอินทรีย์กับอีกา (The Eagle and the Crow )

A crow watched an eagle swoop down with majestic air from a nearby cliff ,cliff descend upon a flock of sheep, and then carry off a lamb in his talons.
นกอินทรีย์ตัวหนึ่งบินโฉบลงมาจากหน้าผาและใช้กรงเล็บขาของมันจับลูกแกะไป


The whole thing looked so graceful and easy that the crow was eager to imitate it.
อีกาเห็นเช่นนั้นจึงคิดว่าเป็นเรื่องง่ายและตนก็สามารถทำได้อย่างนกอินทรย์


So, he swept down upon a large, fat ram with all the force he could muster andexpected to carry him off as a prize.
ดังนั้นมันจึงบินลงมาที่แกะตัวใหญ่อ้วนและใช้แรงทั้งหมดของมันจับแกะตัวนั้น


His claws became entangled in the wool however, and as he tried to escape, he fluttered and made such a commotion that he drew the shepherd’s attention, enabling the man to seize him and clip his wings.
ทำให้เล็บขาอีกาติดกับขนแกะไม่สามารถดึงหลุดออกได้ คนเลี้ยงแกะจึงเข้ามาจับตัวอีกาไว้


That evening the shepherd brought the bird home to his family, and his children asked, “What kind of bird is this, Father?” “Well,” he said,”if you were to ask him, he would tell you that he’s an eagle. But if you will take my word for it, I know him to be nothing but a poor crow.”
เย็นวันนั้นคนเลี้ยงแกะนำอีกาตัวนั้นกลับบ้าน เมื่อลูกของเขาเห็นจึงเอ๋ยถามขึ้นว่า “พ่อจ๋า นี่มันนกอะไรหรือ” เขาตอบลูกกลับไปว่า “ลูกต้องถามมันดูเอาเองน่ะ เจาอาจจะบอกลูกว่าเขาเป็นนกอินทรีย์ แต่เราก็เห็นอยู่ว่ามันคืออีกาโง่ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ”


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“Sometimes ambition can lead us beyond the limits of our power.”
“บางครั้งผู้ที่ไม่รู้จักประมาณพลังของตัวเอง ก็ย่อมจะต้องพบกับความวิบัติ”


คำศัพท์น่ารู้ (Vocabularies)
swoop (v.) = โฉบ                                         cliff (n.) = หน้าผา
talons (n.) = เล็บของสัตว์                               imitate (v.) = เลียนแบบ
expected (adj.) = คาดว่า                               wool (n.) = ขนแกะ
flutter (v.) = กระพือปีก                                  commotion (n.) = สับสนวุ่นวาย
seize (v.) = จับกุม                                        force (n.) = กำลัง


Credit : http://funtales4u.blogspot.com


คัดลอกจาก :http://www.edufirstschool.com/learn-english/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%aa%e0%b8%9b%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%b2-the-eagle-and-the-crow.html ..

เผยโฉมฟีเจอร์ Android Jelly Bean ใหม่ล่าสุดในงาน Google I/O

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 เวลาประมาณ 5 ทุ่มครี่ง ตามเวลาประเทศไทย  Google จัดงานประชุมสำหรับนักพัฒนา Google IO ซึ่งสถานที่จัดงานคือMoscone Center San Francisco สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีเปิดตัวอะไรนั้น มีเยอะมากจริงๆ โดยในเรื่องแรกนี้ขอเริ่มต้นที่ Android รุ่นอนาคตที่จะเผยโฉมวันนี้อย่าง Jelly Bean ก่อน ซึ่งจะมาต่อจาก ICS ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
 


Google ได้เผยฟีเจอร์ของ Android Jelly Bean อย่างเป็นทางการ โดยมีการเพิ่ม VSync Triple Buffering และเรื่องการสัมผัสที่ทำงาน ลื่นไหลกว่าเดิม สามารถใช้เสียงในพูดเพื่อพิมพ์ข้อความตามเสียงพูด  Voice Typing  ได้….แม้กระทั่งเครื่อง Offline ก็ยังสั่งใช้เสียงในการพิมพ์ข้อความอยู่เช่นกัน


รวมทั้งจะมาพร้อมคีย์บอร์ดภาษาต่างๆ ทั้งนี้คนไทยได้เฮเพราะภาษาไทย    เข้ามาใน Android รุ่นJelly Bean ด้วย  การพัฒนา Android Bean จะทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ไวขึ้นและก็ต่อ NFC ผ่าน Bluetooth ได้แล้วที่เร็วขึ้น



ส่วน การแจ้งเตือนนั้น มีการปรับที่สวยงามและดูดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แบบเกินคำบรรยายและดียิ่งกว่า iOS ซะด้วยซ้ำ


Android รุ่นใหม่ มีระบบ voice search ที่ทำได้ยอดเยี่ยม  รู้เรื่องกว่า Siri ด้วย สามารถแสดงผลการค้นหาได้ หาอะไรก็เจอ



ส่วนต่อมาคือ Google Now จะเป็นเครื่องมืออัพสถานะอย่างรวดเร็วทันทีทันได  ง่ายๆมันคือระบบที่แจ้งเตือนการรวมของกิจกรรมทุกอย่างผ่านทางการ Search และบอกทันทีทันใด  ไม่ว่าจะเป็นท่องเที่ยว ข่าว รีวิวห้าง ร้านอาหาร เป็นต้น หากใครคิดพัฒนาแอพพวกรีวิวอาหาร พวกเช็คเที่ยวบิน อาจเสร็จ Google Now ไปเลย


สำหรับการ Upgrade จะเริ่มในเดือน กรกฏาคมนี้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต แต่สำหรับนักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดมาทดลอง ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ที่มา : ไอที 24 ชั่วโมง


 

“AFLATOXIN” แอฟลาทอกซิน…..ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

null


 


หอม กระเทียม พริกแห้ง นับเป็นเครื่องปรุงคู่ครัวไทยมาช้านาน เพราะไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีเจ้าส่วนผสมเหล่านี้แฝงตัวอยู่ ซึ่งคุณหรือหรือไม่ว่า สารพิษอย่าง “แอฟลาทอกซิน” สามารถหลบซ่อนอยู่ในอาหารที่เรารับประทานกันทุกมื้อ ดังนั้น ลองมาทำความรู้จักและพยายามหลีไกลสารพิษที่ว่ากันดีกว่า


แอฟลาทอกซิน?


“แอฟลาทอกซิน” เป็นสารพิษที่สร้างขึ้นโดยเชื้อราบางชนิด ซึ่งชอบเจริญเติบโตในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีความชื้นอยู่ด้วย 14–30 % ก็จะยิ่งทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีขึ้น อีกทั้งเจ้าสารพิษตัวนี้ยังทนความร้อนได้ถึง260 องศาเซลเซียส จึงไม่สามารถทำลายให้หมดไปได้ แม้จะหุงต้มตามปกติ


สำหรับลักษณะของเชื้อราชนิดนี้ สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ มีสีเขียว สีเขียวแกมเหลือง หรือสีเขียวส้ม โดยอาหารที่พบแอฟลาทอกซิน  ส่วนใหญ่จะพบในเมล็ดถั่วลิสง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี มันสำปะหลัง และอาหารแห้งประเภท หอมแดง กระเทียม พริกแห้ง กุ้งแห้ง พริกป่น พริกไทย


ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก จัดให้สารอะฟลาท็อกซินเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะว่าปริมาณของแอฟลาทอกซินเพียง 1 ไมโครกรัม ก็สามารถทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในแบคทีเรีย และทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้หากรับอย่างต่อเนื่อง ความเป็นพิษของแอฟลาทอกซินบี 1 จะมีพิษสูงสุด รองลงมาได้แก่ บี 2 จี 1 และ จี 2 ตามลำดับ แอฟลาทอกซินเป็นสารก่อมะเร็งที่ตับและอวัยวะอื่น ๆ เช่น ไต ระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อแอฟลาทอกซินเข้าสู่ร่างกายบางส่วนจะถูกขับออกในรูปเดิม บางส่วนจะถูกกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกายเปลี่ยนแปลงเป็นสารเมแทบอไลต์หลายตัว    ซึ่งมีทั้งที่มีพิษมากขึ้นและพิษน้อยลง โดยสารเมแทบอไลต์ดังกล่าวจะถูกสะสมในร่างกาย และบางส่วนถูกขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระและทางน้ำนม สารเมแทบอไลต์ที่มีพิษมากที่สุดคือ 2,3-epoxide-aflatoxin B1 เป็นสารก่อมะเร็งซึ่งจะไปจับกับ DNA , RNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรม ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์ผิดปกติ และทำให้เกิดมะเร็งที่ตับในที่สุด


null


 


พิษของสารแอฟลาทอกซินแบบเฉียบพลันนั้น มักเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่อาการที่ เกิดจากแอฟลาทอกซินในเด็ก คล้ายคลึงกับอาการของเด็กที่เป็น Reye’s syndrome คือ มีอาการชักและหมดสติได้ เนื่องจากมีความผิดปกติของตับและสมอง น้ำตาลในเลือดลดลง สมองบวม มีการคั่งของไขมันในอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หัวใจ และปอด บางครั้งมีการตรวจพบสารแอฟลาทอกซินในตับผู้ป่วยด้วย สำหรับในผู้ใหญ่หากได้รับสารพิษชนิดนี้เข้าไปเป็นจำนวนมาก หรือแม้เป็นจำนวนน้อยแต่ได้รับเป็นประจำ อาจเกิดการสะสมจนทำให้เกิดอาการชัก หายใจลำบาก ตับถูกทำลาย หัวใจและสมองบวม นอกจากนั้นการที่ร่างกายได้รับแอฟลาทอกซินเป็นประจำยังเป็นสาเหตุของ โรคมะเร็งตับ การเกิดไขมันมากในตับ และพังพืดในตับ สำหรับอาการที่แสดงออกเมื่อสัตว์ต่าง ๆ เช่น ไก่ หมู วัว ได้รับแอฟลาทอกซินคือ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีน้ำไหลออกจากจมูก ดีซ่าน ตกเลือดตาย


หากบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนของแอฟลาทอกซิน ในปริมาณสูง อาจทำให้อาเจียน ท้องเดิน แต่หากได้รับในปริมาณต่ำก็ทำให้เกิดการสะสมที่ตับ ส่งผลให้เนื้อตับมีไขมันสะสมมาก เซลล์ตับถูกทำลายจนอักเสบมีเลือดออกจนตับแข็ง ซึ่งหากสะสมจนมีปริมาณมากในระดับหนึ่ง อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งหรือโรคตับอื่นๆ ระดับของความเป็นพิษขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ปริมาณที่ได้รับความถี่ของการบริโภค อายุ เพศ การทำงานของเอนไซม์ในตับ และปัจจัยโภชนาการอื่นๆ


วิธีเลี่ยง “แอฟลาทอกซิน”


อย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่า แอฟลาทอกซิน สามารถทนความร้อนได้สูง ถึง 260 องศาเซลเซียส ดังนั้น การที่จะใช้ความร้อนจากการหุงต้มมาทำลายสารพิษจึงเป็นไปไม่ได้ แต่คุณก็สามารถใช้วิธีหลีกเลี่ยงได้โดยระมัดระวังในการเลือกซื้อเลือกบริโภคอาหารต่างๆ ดังนี้


1.  เลือกซื้ออาหารแห้งที่ใหม่ๆ เช่น ถั่วลิสง พริกแห้ง ข้าวโพด หอมแดง กระเทียม โดยเลือกที่ไม่มีราสีเขียว สีเหลือง หรือสีดำ และซื้อให้พอเหมาะกับการรับประทาน ไม่ควรซื้อเก็บไว้เป็นเวลานาน

 ดมดูต้องไม่มีกลิ่นเหม็นอับ หรือกลิ่นเหม็นหืนหลีกเลี่ยงการซื้อถั่วลิสงคั่วป่น พริกป่นจากร้านจำหน่ายมารับประทาน ควรนำมาคั่วป่นเองและให้พอเหมาะกับการรับประทานแต่ละครั้ง และไม่ควรเก็บไวเกิน 3 วัน หลังจากคั่วป่นแล้วควรเก็บอาหารไว้ในที่แห้งหรือนำไปตากแดดให้แห้งก่อนเก็บ และถ้ามีราขึ้นให้ทิ้งทั้งหมดทันที อย่านำบางส่วนมารับประทาน

null



 


สรรสาระโดย : - e-magazine.info